เที่ยวภูสอยดาว ตอนที่ 8 | ช่วงท้ายของทริปแล้วสินะ

ต้องขอขอบคุณหลายๆ ที่อ่านเรื่องราวของคนอยากเที่ยวคนนึงมาได้นานจนถึงตอนนี้ ตอนที่ 8 แล้ว คิดว่า คงต้องจบบทความที่เล่าเรื่องเที่ยวภูสอยดาวที่ตอนนี้แหละ เล่ามากไป กลัวจะพาลไม่อยากอ่านกัน ผมเองก็จะได้ไปหาเรื่องอื่นๆ มาเขียนกันบ้าง

ต้องเข้าใจหน่อยนะ นานๆ จะได้เที่ยวกับเขาสักที…

อา.9.10.2550 | 09.30 น.

พวกเราตื่นมากินข้าวต้ม… แล้วจัดการเก็บข้าวของ เก็บเต็นท์ มากองรวมกันไว้ รอลูกหาบมารับไปขน หลังจากนั้น ก็ได้เวลาบอกลาลานสนสามใบกันแล้ว

พวกเรามีเพียงตัวเปล่าๆ กับขวดน้ำคนละขวดติดกาย นอกนั้น ใครจะแบกอะไรติดตัวก็แล้วแต่ ส่วนผมก็คงแบกกล้องเช่นเคยแหละ เดินกลับไปทางเดิมที่เราเดินมา (ส่วนส้ม แยกไปอีกทาง เดินลงทางลัด ไปยังจุดที่มีรถของชาวบ้านมาจอดรับ แล้วขับบุกลงทางอันแสนชันกลับลงมาเบื้องล่าง ทางใกล้กว่ากันมาก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน ส้มคงไม่อยากเป็นภาระให้พวกเรา จึงเลือกจะไปทางนั้น มาดูซิ ว่าใครจะถึงข้างล่างก่อนกัน)

วันนี้ อากาศแจ่มใส แต่ก็เริ่มร้อนแล้วแม้จะยังเช้าอยู่ก็ตาม พวกเราเดินมาจุดบนสุดของเนินมรณะอีกครั้ง คราวนี้ จะได้เวลาเดินลงเินินกันแล้ว ดูซิ ว่าจะยากง่ายแค่ไหน


(จุดสูงสุดของเนินมรณะ เราจะเริ่มเดินลงกันตรงนี้แหละ)

(ช่วงที่ยังเกาะกลุ่มกัน ก็จะถ่ายรูปกันเยอะหน่อย แดดแรง วิวสวย ถ่ายยังไงก็สวยแหละ)

แรกๆ ก็ยังเกาะกลุ่มกันดี มีเวลาพักถ่ายภาพกับวิวสวยๆ แต่พอผ่านไปสักพัก ชักเริ่มเบื่อ เพราะผมอยากลงเร็วกว่านี้ เลยเริ่มที่จะขอแซงเพื่อนๆ ไปอยู่ข้างหน้าบ้าง หลังจากนั้น ก็ตะลุยเดินลงจนทิ้งเพื่อนไม่เห็นฝุ่น การลงเนินนั้น ง่ายกว่าการขึ้นเยอะครับ ไม่ต้องแบกน้ำหนักตัวและหนีแรงโน้มถ่วงของโลก

แต่ที่แย่กว่าคือ ความเสียว เพราะเราต้องหันหน้าไปเผชิญกับความสูงชันของหน้าผา ถ้าตัดใจไม่มองไม่คิดซะ ก็ไม่ยากครับ แม้ว่าตอนขึ้นมาจะเหนื่อยแสนสาหัส ตอนลงเนินมรณะกลับไม่ยากเย็นนัก

ที่หนักหน่อย คือ ช่วงเข่าที่ต้องรับแรงกระแทกทุกย่างก้าวที่เท้าแตะพื้นดิน หัวแม่เท้าต้องช่วยออกแรงเบรก และเราต้องทรงตัวให้ได้สมดุลอยู่ตลอดเวลา บางช่วงอาจต้องเปลี่ยนเป็นมนุษย์วานร จับโน่นเกาะนี่เพื่อช่วยยึดเกาะ มือเปื้อนฝุ่นบวกกับเหงื่อ ทำให้ไม่รู้สึกอยากจะจับกล้องมาถ่ายภาพแล้ว เลยเก็บกล้องซะดีกว่า

เดินลงมันอย่างเดียวแล้วกัน

ในที่สุด ก็เหลือเพียงผมกับบัง 2 คนที่เดินมาด้วยกัน ทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลัง…

พวกเราเดินกันมาเรื่อยๆ คุยกันไปเรื่อยเปื่อย และหยุดพักกันน้อยมาก ดูนาฬิกาอยู่ตลอด ดูจากอัตราเร็วของการเดินแล้ว ผมคาดว่าน่าจะถึงสักเที่ยงครึ่ง ถึงเวลานั้นก็คงหิวและได้กินข้าวกันพอดี ตอนนี้ เราคิดถึงผัดกะเพราเนื้อ+ไข่ดาวที่ร้านอาหาร ตรงข้ามป้ายน้ำตกภูสอยดาวกันแล้วละครับ

เราพักกันแค่หนสองหนเท่านั้น เดินผ่าน เนินเสือโคร่ง เนินป่าก่อ เนินปราบเซียน มาจนถึงเนินส่งญาติ จึงได้พบว่า เนินนี้แหละ ที่เวลาลงเนี่ย โคตรจะยากและเหนื่อยมากๆ เลยล่ะ เพราะตรงนี้ จะไม่ค่อยมีหญ้าขึ้นรกให้จับยึด มีแค่ต้นไผ่ที่พอให้จับยึดได้บ้างเท่านั้น บางช่วงนี่ไม่มีอะไรเลย แถมบางขั้นก็ห่างกันมาก ต้องยืดตัวยืดขากันสุดๆ เพื่อจะไปให้ถึง

ในที่สุด เราก็ได้ยินเสียงน้ำตกภูสอยดาว…

มาถึงช่วงนี้ ผมรู้สึกว่า ขาผมชักจะล้า เริ่มจะเดินตามบังที่เพิ่มความเร็วของการเดินไม่ทัน ลืมไป พวกเราผ่านผู้คนมากมายที่กำลังขึ้นเนินมา สภาพไม่ต่างจากเราตอนเดินขึ้นแม้แต่น้อย ได้แต่ยิ้มให้กับพวกเขา มันไม่ยากเกินความสามารถของคุณหรอก เพราะผมได้พิสูจน์มันมาแล้วไง

ในที่สุด เราก็เดินลงมาจนเห็นน้ำตกภูสอยดาวใกล้ๆ ผมหาจุดเหมาะๆ ที่เราจะแวะลงไปสัมผัสกับน้ำเย็นๆ ของน้ำตกเพื่อล้างหน้า ล้างมือ (ที่เปรอะเปื้อนฝุ่นมาตลอดทาง) ก่อนจะล้วงกล้องคู่ใจออกมาถ่ายน้ำตกและบังอย่างที่เห็น

เอาละ ได้เวลาเดินต่อไปให้ถึงจุดเริ่มต้นกันแล้ว

แต่ดูเหมือนมันจะเป็นระยะที่ยาวไกลเหลือเกิน ผมเป็นคนจดจำทางในป่าได้ดีกว่าบัง แต่ความที่เราไม่รู้ทางลัด ทำให้ผมนำบังมาเดินในทางอ้อมซะงั้น

12.40 น.

เอาละ(อีกครั้ง) เราลงมาถึงจุดหมายของเราแล้ว ในเวลา 12.40 น. ใกล้เคียงกับที่คาดไว้พอดี ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเองนะนี่ ผิดกับขาขึ้นเอามากๆ เพราะตอนนั้น เราใช้ไปถึง 7 ชั่วโมงครึ่งทีเดียว

ข้าวผัดกะเพราะเนื้อ+ไข่ดาว รอเราอยู่….

————————————–

ผมกับบัง มาถึงกันเป็นกลุ่มแรก เราสั่งข้าวมากันก่อน เพราะหิวมาก บังซื้อสับปะรดมาหัวนึงเต็มๆ ให้เขาปอกและหั่นเป็นชิ้นมาให้เรียบร้อย สับปะรดอุตรดิตถ์นี่อร่อยจริงๆ ลูกใหญ่มาก นั่งกินรอเพื่อนๆ

ในที่สุด บ่ายโมง ส้มก็ตามมาถึง ไม่นานหลังจากนั้น (น่าจะสักบ่ายโมงครึ่ง) ทุกคนก็มากันครบ พวกเรานั่งกินข้าวมื้ออร่อยกันตรงนั้น ก่อนจะเดินทางกลับกับรถตู้พี่เวียงที่มารออยู่แล้ว

พวกเราทั้งสิบ (รวมพี่เวียงด้วย) เดินทางต่อไปทางแยกห้วยมุ่น มุ่งหน้าสู่เขื่อนสิริกิติ์

16.47 น.

พี่เวียงจอดรถกลางทาง เมื่อบังอาการไม่ดี อาเจียนออกมา แต่ก็เดินทางต่อได้ บังเปลี่ยนมานั่งตรงกลาง จะได้มองแต่ข้างหน้า น่าแปลกดีเหมือนกัน คนนั่งข้างหลัง 3 คน ผม วอง และปุ๊ก ไม่เป็นอะไรเลยตลอดทาง พี่เวียงยังสงสัยเลย สงสัยพวกเราจะแข็งแรงกว่าที่คิด ….เหอๆ

พวกเราแวะซื้อของกันนิดหน่อยที่อำเภอ(อะไรหว่า จำไม่ได้) ก่อนจะมาถึงเขื่อนสิริกิติ์ในช่วงค่ำ เข้าที่พัก (ที่พักเราชื่อ “ภูน่าน”) อาบน้ำกันให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน แล้วมากินอาหารกันที่ร้าน “ริมน่าน” มื้อนี้ สั่งกันมาอย่างเพียบ เป็นมื้อแรกหลังจากลงภู ในที่สุด ก็กินกันไม่หมด เพราะอิ่มกันหมดแล้ว อาหารอร่อยเป็นส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่า เพราะไม่ได้กินอะไรแบบนี้มาหลายมื้อรึเปล่านะ

คืนนั้น กลับมานอนดูบอลอาร์เซนอลกันด้วยความง่วง ดูเสร็จก็ไปแปรงฟัน แล้วขึ้นไปนอนหลับสนิทจนถึงเช้า

มีบางพวกออกมาถ่ายรูปกับถนนตอนเช้าตรู่ แต่พวกเราแค่ออกมากินโจ๊กมื้อเล็กๆ ก่อนที่จะไปถ่ายรูปที่เขื่อน

จ.10.12.2550 | 9.26 น.

มาที่เขื่อนสิริกิติ์ เพื่อถ่ายรูป ถ่ายกันอย่างเมามัน จนไม่รู้จะถ่ายอะไร

ช่วงเวลาสุดท้าย เราก็มานั่งกินมื้อเที่ยงกันที่ร้านริมน่านเช่นเคย ก่อนจะไปถ่ายรูปที่สะพานแขวน แล้วก็ได้เวลากลับกันจริงๆ เสียที

11.25 น.

ออกเดินทางจากเขื่อนสิริกิติ์ มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ระหว่างทาง เราแวะอะไรบ้าง ขอสรุปคร่าวๆ เอาละกันครับ

12.19 น.

แวะพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับการตีดาบน้ำพี้ และขายของที่ระลึกด้วย

14.20 น.

มาถึงเมืองพิษณุโลก แวะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อนมัสการพระพุทธชินราช ก่อนจะไปกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่ แล้วกลับมาซื้อของฝากที่ตลาดของวัดอีกครั้ง


(น้ำกระเจี๊ยบ 2 น้ำมะตูม 1 ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ผมชอบดื่มน้ำมะตูมครับ)

21.00 น.

นี่คือภาพสุดท้าย ก่อนเดินทางกลับ หลังจากนี้ ผมเก็บกล้องลงกระเป๋า ไม่ได้ถ่ายอะไรอีกเลย จนกลับมาถึงกรุงเทพฯ ช่วงประมาณสามทุ่มเศษ รู้สึกเมื่อยขาทั้งช่วงน่องและเหนือเข่า อาจเพราะดันเดินไม่ยอมพักนี่เอง ต้องไปซื้อเจลมานวดอยู่ 2-3 วันถึงจะหายดี

——————————————

ทิปเล็กๆ สำหรับการเที่ยวภูสอยดาว จากคนที่เคยไปมา”หนเดียว”

——————————————

เป็นอันจบทริปนี้โดยบริบูรณ์แล้วละครับ ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนถึงบรรทัดนะครับ ขอบคุณมากๆ

Exit mobile version