เดินพาทุกท่านเที่ยวชม “อัมพวา” กันมายืดยาว ไม่รู้จะชอบกันมั้ย หรือสงสัยว่าเขียนในช่วงปีใหม่ คอมเมนต์หดหายมากเลย ผมลืมไปบางจุดนะ ที่น่าจะเอารูปมาลง เพราะว่าเป็นร้านที่น่าสนใจ เลยขอหยิบมาเล่าเสริมในตอนนี้สักหน่อย ร้านนั้นคือ
‘โรงงานลูกกวาด บุญประเสริฐอุตสาหกรรม’ ร้านนี้น่าสนใจเช่นไร ลองดูรูปแล้วกันครับ
ในเมื่อเป็นร้านของโรงงานลูกกวาด ก็ต้องมีลูกกวาดขาย ราคาของมันก็คือ 2 เม็ดบาท แต่เมื่อพวกเราไม่ได้สนใจลูกกวาด เราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมันมาให้ดู แต่เราชอบในสีสันของของต่างๆ มากมายที่ขายในร้านเสียมากกว่า ทั้งตุ๊กตุ่นตุ๊กตา แมวๆ หมาๆ น่ารักๆ ทั้งนั้น
ถ่ายอย่างเดียว ไม่ได้ซื้ออะไรของเขาเลยอะ
-_-“
26 ธ.ค. 52 เวลา 16.06 น.
ได้เวลาแห่งการข้ามฟากไปอีกฝั่งของคลองอัมพวากันได้แล้ว เมื่อเดินมาจนน่าจะสุดทาง จึงข้ามมาอีกฝั่งเพื่อเดินเที่ยวดูของกินของใช้ถ่ายรูปกันต่อ การเดินอัมพวากันสองคนก็ดูชิลล์ดีไม่หยอก ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องปรึกษากันวุ่นวาย มีแค่สองคนให้ชี้ชวนกัน อยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากพักก็นั่งพัก เท่านั้นเอง
อีกฟากของฝั่งคลอง ยังคงมีทุกอย่างเหมือนกับอีกฝั่ง ต่างกันก็เพียงร้านที่แตกต่างออกไป กับแดดที่อ่อนแรงลง เป็นด้านที่ร่มกว่า ไม่ต้องเดินอาบแดดเหมือนเคยอีกแล้ว…
อาคารบางส่วนกำลังถูกปลูกสร้างขึ้นใหม่ ด้วยความพยายามที่จะคงลักษณะทรงบ้านแบบเก่าเอาไว้ เห็นเลือกเก็บฝาบ้านเอาไว้ แล้วไปสร้างตัวบ้านมาใหม่อีกที เออ ก็ดูแปลกดีเหมือนกัน
มาเที่ยวฝั่งนี้ เริ่มไม่ค่อยได้ถ่ายรูป แต่พยายามหาเสื้อที่อยากได้ เพราะหมูน้อยฟาดไปสองตัวแล้ว เราต้องหาสักตัวได้สิน่า เดินดูไปเรื่อยๆ หลายร้าน บางทีไม่สะดุดใจเสื้อ แต่ไปสะดุดใจกางเกงซะยังงั้น
สังเกตว่า เสื้ออัมพวามีขายมากมายหลายร้าน แต่ที่โดนใจจริงๆ มันมีไม่กี่ร้านเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเน้นสกรีนคำว่า “อัมพวา” สีเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้สวยเท่าไหร่ ระดับเรามันต้องเมพกว่านั้น เลยออกจะหายากสักหน่อย เดินจนจะครบรอบแล้ว ยังไม่ได้สักตัว
ในที่สุด ก็ต้องเดินไปหาฝั่งเก่า…
เราพบว่า ตรงเชิงสะพานแถวร้าน ‘กาญจนาพานิช’ คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย จนต้องเดินแบบไหลๆ ตามกันไป นอกจากนี้ ยังเป็นจุดที่เรือก๋วยเตี๋ยวอาศัยจอดริมฝั่ง และมีลูกค้ามานั่งทานกันอย่างเอร็ดอร่อยมากมาย เลยจากตรงนั้นมาสักหน่อย คนถึงจะเริ่มน้อยลงจนพอจะเดินๆ ไปอย่างคล่องตัว แต่ก็ระวังกันนิดเวลาสวนกัน เพราะทางเดินไม่ได้กว้างมากนัก เสียวตกน้ำเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่มีใครตกสักคน ในที่สุด ผมก็กลับไปที่ร้านเดิมที่หมูน้อยซื้อเสื้อยืด เพื่อซื้อของตัวเองบ้าง ได้มาแล้ว ของชิ้นแรกในการมาเยือนอัมพวา
เวลา 16.40 น.
เดินไปเดินมา ชักหิว เลยแวะเข้าไปในร้าน ‘กำปั่น’ ที่เราหมายตากันไว้แต่ทีแรก เดินเข้าไปข้างใน มีมุมเล็กๆ ที่ดูเป็นส่วนตัวอยู่สักหน่อย สั่งข้าวมาทานกันดีกว่า ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู กับ ข้าวผัดน้ำพริกมะขาม น้ำมะพร้าว กับ ชามะนาว ถูกเสิร์ฟมาให้ลิ้ม อร่อยดีทีเดียว ลงรูปให้หิวกันไปพลางๆ แล้วกัน
ก่อนจะมาต่อกันด้วยไอติมโบราณที่ร้านกำปั่นเจ้าเดิม แท่งละ 12 บาท ย้อนสู่วัยเด็กในชั่วพริบตา เดินดูดไอติมไปจนสุดท้ายที่แม่กลองจุดเดิม ก่อนจะตัดสินตามที่มีชาว tweetple ท่านหนึ่งแนะให้ใช้บริการของเรือนำเที่ยวที่เป็นเรือแจวลำเดียวในคลองอัมพวาของคุณลุง เราสองคนก็เลยจัดให้ตามคำแนะนำซะเลย
ด้วยสนนราคาคนละ 30 บาท เราลงไปนั่งอยู่ท้ายเรือ โดยมีวัยรุ่น 4 คนนั่งอยู่ตอนหน้า ไอ้สี่ตัวนั่นฮาสุดๆ จะทำเรือล่มหลายทีแล้วจนลุงต้องออกปากเตือน สิ่งหนึ่งที่เราพบก็คือ เมื่อเรือแจวลำนี้ผ่านไปตรงไหน ก็จะมีแต่คนมอง เพราะมันไม่เหมือนใครไงครับ คนนั่งก็แสนภูมิใจในความเท่ของตัวเอง ทำไมเราจะต้องนั่งเรือยนต์เหมือนใครๆ เรานั่งเรือแจวของลุง เท่กว่าเป็นไหน ใครๆ ก็มอง ใครๆ ก็ทัก ใครๆ ก็ถ่ายรูปเรา เหอๆ
ขาไปแจวตามน้ำ ลุงสบายอยู่แล้ว เมื่อถึงวัด…(ชื่อวัดไรหว่า) ลุงก็หันหัวเรือกลับ คราวนี้ต้องแจวพายทวนน้ำ เล่นเอาลุงลิ้นห้อยเลยทีเดียว
เวลา 18.16 น.
หลังจากขึ้นฝั่ง ก็เดินกลับมายังที่พักที่ “สวรรค์โอสถ” ของเรา เหงื่อโทรมกายทีเดียว ต้องงขอตัวไปพักสักหน่อย อาบน้ำอาบท่า นอนดูทีวี และหลับไป…. จนเกือบสี่ทุ่มผ่านมาถึง
เวลา 21.52 น.
สองหมูหมาเดินออกจากที่พักลงไปหาอะไรกินข้างล่าง พบว่า ร้านรวงปิดกันไปเกือบหมดแล้ว จึงเดินไปทางถนนข้างที่พักที่ทอดไปบรรจบแม่น้ำแม่กลองสายนั้น พบว่า ยังพอมีร้านรวงที่เปิดให้บริการอยู่ เห็นสำนักงานเทศบาลประดับไฟสีสวยดีก็เลยถ่ายมาให้ดู
มีร้านข้าว 3-4 ร้านที่เปิดอยู่แถวสี่แยกเล็กๆ ตรงนั้น เลยเลือกร้านอาหารตามสั่งมาช่วยประทังหิวให้บรรเทา และแล้ว… ราตรีนี้คงได้เวลาของการพักผ่อนจริงๆ กันเสียที
[พรุ่งนี้ เราต้องจากอัมพวาไปแล้วสินะ]