วันเดียว เที่ยวปาย ตอนแรก

วันที่ผมไปทำหน้าที่ในงาน “แฟตเฟสโชว์เหนือ ตอน โชว์เหนือกว่า” ที่ จ.เชียงใหม่นั้น กับ @9aum ก็ได้รู้จักแบบเห็นหน้าค่าตากับน้อง @NaiOhm ที่เป็นเจ้าถิ่น เราพาน้องเข้างานก่อนจะนัดแนะกันไปเที่ยว จากที่ไม่มีความคิดตายตัวว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี ในที่สุดก็ตกลงกันว่า จะไปเที่ยว “ปาย” กัน

เป็นการเยือนปายครั้งแรกในชีวิตของผม

ตีสี่ เสียงเรียกเข้ามือถือปลุกพวกเราตื่นขึ้นมา โอมมาถึงแล้ว นอนมาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น งัวเงียลุกไปขึ้นรถ วันนี้ ทั้งวันเราจะไปเที่ยวกันแบบเต็มๆ แล้วต่อด้วยการนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ กันเลย ร่างกายจะพร้อมลุยแค่ไหนน่ะหรือ?

ไม่พร้อมหรอกครับ

แล้วล้อก็หมุน เราเดินทางออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปยัง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ความสะลึมสะลือทำให้จำไม่ค่อยได้ว่า ผมผ่านอะไรบ้าง จำได้แค่ว่า ผ่าน อ.แม่ริม, อ.แม่มาลัย ก่อนจะพบกับถนนที่เริ่มคดเคี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหลับตาด้วยหวังจะหลับไปเลย แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตายังหลับ แต่จิตยังตื่น ในที่สุด เมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้ว จึงเอียงตัวซบกระเป๋าเป้ ในที่สุดก็รอดตัวมาถึงทางเข้า “ห้วยน้ำดัง” จนได้

อากาศที่ห้วยน้ำดังนั้นหนาวสุดๆ อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส เล่าเอาคนที่ไม่ได้เตรียมตัวเพื่อมาหนาวขนาดนี้ (เนื่องเพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าจะมาเที่ยวห้วยน้ำดังและปาย) ต้องสั่นไปถ่ายรูปไปเลยทีเดียว

ผมมาห้วยน้ำดังครั้งแรก บรรยากาศที่ดูสวยงามด้วยลักษณะของลานหญ้า 2 โซนใหญ่ๆ ที่แซมด้วยไม้ดอกที่ปลูกประดับ

06.56 น. คือเวลาที่เรามาถึง ทันพอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพอดี

หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาเห็นต้นสน 3 ต้นที่ยืนเรียงกัน เห็นน่าสนใจเลยถ่ายเก็บมาฝากด้วย ก่อนจะเดินทางกันต่อ คราวนี้ เราก็ยังต้องผจญกับเส้นทางที่คดเคี้ยวต่อไป หนทางกว่า 30 กม. ที่เหลือ แข็งใจลืมตามองทางไปตลอด จนในที่สุดก็ถึงเขตอำเภอปายจนได้

เวลา 08.19 น.

จุดหมายแรก “สะพานท่าปาย” – สะพานประวัติศาสตร์ – Memorial Bridge แล้วแต่จะเรียกกันอย่างไหน

หมอกหนามากๆ ขนาดที่เมื่อเรายืนอยู่ฝั่งหนึ่ง เราจะไม่เห็นอีกฝั่งของสะพานได้เลย สะพานแห่งนี้มีประวัติที่ยาวนานพอสมควร จากเดิมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นใช้ได้เป็นทางผ่าน จ้างวานชาวไทยถางทางและสร้างสะพานขึ้น และเผาทิ้งเมื่อกลับออกไป ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่เป็นแบบสะพานไม้ก่อนจะถูกน้ำพัดพังทะลายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2516 อำเภอปายจึงได้ไปขอชิ้นส่วนของสะพานเหล็ก “นวรัฐ” ที่เชียงใหม่มาใช้แทน ก่อนที่จะถูกสะพานปูนที่ใหญ่กว่ามาแทนที่ แต่ก็ยังคงเก็บรักษามันไว้เป็นอนุสรณ์เช่นเดิม

เดินกันจนข้ามไปถึงอีกฟาก เราก็พบกับร้านกาแฟวาวี และร้านสะพานปาย ที่มีคนยืนถ่ายรูปกับจักรยานและรูปปั้นบุรุษไปรษณีย์ เห็นน้องเขาน่ารักดี จึงเปิดโหมด “แอบถ่าย” ของตัวเองขึ้นมาทำงาน

หมอกเริ่มจาง พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่แจ่มจ้ามากขึ้น เอาล่ะ ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วล่ะ

———————————–

เวลา 09.09 น.

ไม่นาน โอมก็พาเรามาแวะจอดที่บ้านหลังสีเหลืองๆ หลังหนึ่ง บ้านของเจ้าของร้านกาแฟขึ้นชื่อนาม “Coffee in Love” นั่นเอง เป็นอีกจุดถ่ายรูปสำหรับเราในวันนี้ แต่ไม่ได้มาดื่มกาแฟของเจ้าของหรอก มาถ่ายรูปเฉยๆ อะ 555

ที่นี่มีอะไรมากมายให้ถ่ายดี ทั้งบ้าน ดอกไม้ ร้านกาแฟ หลักกิโลอันใหญ่ ป้ายร้าน และอีกหลายจุด ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะพักดื่มกาแฟยามเช้ากัน

เราไม่ได้กินกาแฟที่นี่ เพราะมีอีกจุดที่สมาชิกระบุว่า กาแฟอร่อยกว่า เดินทางกันต่อเลยแล้วกัน

ในที่่สุด เราก็เดินทางมาถึงตัวอำเภอปาย แต่เรายังไม่ได้แวะพักชมตัวเมืองกัน หากแต่เลยไปถึงวัดน้ำฮู ที่มีงานอะไรกันสักอย่าง ดูจะไม่เหมาะหากจะลงไปไหว้พระตอนนี้ เลยผ่านไปอีกจุดหมายนึง นั่นคือ “หมู่บ้านสันติชล”

09.46 น.

ถึงเวลาหมู่บ้านยูนนาน หรือที่เรียกว่า “หมู่บ้านสันติชล” หมู่บ้านของชนเชื้อสายจีน ที่นี่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงจีน บริเวณต้อนรับนักท่องเที่ยวก่อด้วยดินผสมขี้วัว มีชิงช้าที่เปิดให้บริการอยู่ด้านหน้า เป็นชิงช้าแบบ 4 คน ที่ต้องขอเรียกว่า “ชิงช้า 4 คน 100”

“มาครั้งก่อนนั่งฟรี แต่มาครั้งนี้เก็บตังค์แฮะ”

เสียงสมาชิกคนหนึ่งผู้เคยมาปายเมื่อครั้งก่อน เอ่ยออกมา

เราเข้าไปนั่งสั่งอาหารยูนนานทานกัน อาหารจีนดูจะถูกปากคนอื่นๆ แต่สำหรับผมแล้ว ผมเฉยๆ กับอาหารจีนครับ เนื่องจากเป็นอาหารที่ “มัน” ไปทุกอย่าง ทานได้สักพักก็ชักเลี่ยน ราคาก็พอใช้ได้เลยทีเดียว

เราจากมาด้วยอาการเซ็งๆ นิดหน่อย

ตลอดทางที่ผ่านมา และทางที่เรากำลังผ่านอยู่นั้น เราก็พบว่า มีรีสอร์ตมากมายที่เรียงรายตลอดทาง ทั้งที่ดูเป็นธรรมชาติ ดูเข้ากับเมืองเล็กๆ ในชนบทดี และแบบก่ออิฐถือปูนระบายสี ที่ดูเป็นความทันสมัยและดูสะดวกสบายกว่า แต่อาจไม่เข้ากับเมืองไปหน่อย

ผมยังไม่เคยเห็น “ปาย” ในสมัยก่อน ก่อนที่ใครๆ จะรู้จักและพากันมา ผมไม่อาจเปรียบเทียบได้ว่ามันแตกต่างกันเพียงใด และผมประทับใจใน “ปาย” แบบใด แม้ถามผู้คนท้องที่ ก็ยังอาจได้คำตอบที่แตกต่างกัน หลายคนว่า “ปาย” เปลี่ยนไป หลายคนอาจโหยหาปายแบบเดิม ไม่มีใครจะบอกได้ว่า จริงๆ แล้ว “ปาย” ต้องการอะไร และใครควรเป็นคนกำหนดสิ่งที่ “ปาย” ควรเป้น

สำหรับผม จากการที่ผมไปเยือน “หลวงพระบาง” และ “วังเวียง” มาแล้ว ผมอยากเห็น “ปาย” คือเมืองแห่งธรรมชาติ เมืองที่สงบ ทุกอย่างที่อยู่ในเมืองควรจะดู “เข้ากัน” ไม่ได้เป็นคำตอบว่า คนอยากเที่ยวปายอยากได้อะไร หรือ คนปายอยากได้อะไร แต่เมืองบางเมืองน่าจะเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ใช่ “เสียของ” เพราะอำนาจเงิน

[พล่ามมากไป มาต่อตอนหน้าแล้วกันเน้อ]
Exit mobile version