หมู-หมาเที่ยวลาว พักหนาว พักใจ ตอนที่ 5 : หลวงพระบางวันที่สอง

เช้าตรู่ของอีกวันในเมืองมรดกโลก “หลวงพระบาง”

24.12.2008
เวลา 06.10 น.

หมูกะหมาถูกปลุกจากเสียงเคาะประตูของพนักงานเชื้อสายจีน ก่อนจะล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำ ออกมาขึ้นรถสกายแล็ป ทันคันสุดท้ายที่มารอเราอยู่แล้ว วันนี้ เราไปทานมื้อเช้ากันง่ายๆ ไข่เจียว ขนมปัง กาแฟ ก่อนจะนั่งสกายแล็ปไปเที่ยวเมืองหลวงพระบางกันต่อ

เริ่มต้นที่แรก วัดอะไรสักวัดหนึ่งที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำ จำได้คร่าวๆ ว่าชื่อ “วัดโพนไซ” วัดที่เราเข้าไปทำบุญไหว้พระกันในอุโบสถ สวดมนต์และรับศีลรับพร ระหว่างเดินออกมา พวกเราทุกคนได้รับของขวัญจากชาวบ้านเป็น ส้ม 1 ลูกกับข้าวเหนียวปิ้ง 1 ห่อ เป็นการต้อนรับแขกที่ดูอบอุ่นจริงๆ

หลังจากเก็บภาพสวยๆ ของวัดนี้แล้ว หมูกะหมาก็นั่งสกายแล็ปต่อไปยังอีกวัดที่ไม่ไกลกันนัก “วัดใหม่สุวันนะพูมาราม” (วัดใหม่สุวรรณภูมาราม) วัดนี้ก็สวยไม่แพ้กัน มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างสำคัญ

บางคนแอบหนีไปกินเฝอเสียอิ่มหนำ ไม่ยอมบอกกัน ไม่ทันเสียแล้ว

นั่งรถสกายแล็ปกันต่อ แอบถ่ายบรรยากาศบนถนนในหลวงพระบางมาฝากด้วย

สังเกตกันได้อย่างหนึ่ง ที่นี่ เราจะพบเห็นรถยนต์อยู่ไม่ีกี่ยี่ห้อ ถ้าเป็นรถยนต์ จะพบ? Toyota เสียเป็นส่วนใหญ่ ยี่ห้ออื่นพอมีแต่ยังถือว่าน้อยกว่าเยอะ ขณะที่รถกระบะ จะเห็นแต่ Vigo เท่านั้น ล้วนเป็น Vigo ที่ผลิตที่ไทย และถูกสั่งเปลี่ยนข้างพวงมาลัยไปเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ส่วนรถตู้ เรียกได้ว่า Hyundai เอาไปครอง หน้าตารถตู้ของเขาไม่เหมือนใครจริงๆ ใครที่ชม “สะบายดี หลวงพะบาง” มาแล้ว อาจยังจดจำรถตู้ที่พระเอกนั่งเที่ยวลาวได้

เรากลับมาที่รถทัวร์คันย่อมสายพันธุ์เกาหลีของเราอีกครั้ง คราวนี้ เราจะไปเที่ยวหมู่บ้านอีกแห่งที่มีชื่อเสียงของที่นี่ หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่า ผลิตไหเป็นล่ำเป็นสัน แต่ต่อมา กลายเป็นหมู่บ้านที่ผลิตเหล้าทำมือกันเป็นล่ำเป็นสันแทน หมู่บ้านนี้ชื่อ “บ้านช่างไห” (มีคนเรียกผิดว่า “ช้างไห้” ซะงั้น)

สนใจมั้ยล่ะครับ ยาดอง-สาโทของขึ้นชื่อที่นี่เขาล่ะ แต่ระหว่างทางก็มีชาวบ้านมาขายของกันเพียบทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าทั้งหลาย ราคาค่อนข้างถูกกว่าที่อื่น กลับมาบ้านแล้ว หมูน้อยยังบ่นเสียดายที่ไม่ได้ซื้อ

ถ่ายกับเด็กๆ ลาวซะหน่อย น้องเขาน่ารักดี

เวลา 10.54 น.

เราเดินผ่านหมู่บ้านที่ขายของมาเรื่อยๆ จนเส้นทางมาสุดที่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ไม่ใช่สายไหนหรอก “น้ำของ” นั่นเอง เราจะได้ลงเรือขนาดใหญ่ที่จุคนได้้ทั้งกรุ๊ป แล้วล่องตามลำน้ำของ ไปยัง “ปากอู” ที่นี่สองลำน้ำ “คาน” และ “ของ” มาบรรจบกัน เกิดเป็น “แม่น้ำสองสี”

ปล. แม่น้ำโขง คือชื่อที่คนไทยเรียก ส่วนคนลาวจะเอิ้นว่า “น้ำของ”

ระหว่างนั่งเรือ เราก็นั่งดูทัศนียภาพทั้งสองฝั่งที่ดูสุขสงบ ที่ฝั่งแม่น้ำมักเป็นสันดอน มีทรายไปเกาะตัวกันเป็นลานกว้าง เห็นชาวบ้านกำลังทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่แน่ว่าอะไร หาปลาน่ะพอเดาได้ แต่บางที สิ่งที่เห็นมันเหมือนจะเป็นขาของสัตว์สี่เ้ท้า ช่างน่าสงสัย ว่ามันคืออะไรยิ่งนัก

เรามาถึงปากอูแล้ว ที่นี่ เราจะแวะไหว้พระที่ “ถ้ำติ่ง” กันพักนึง หมากะหมู เดินขึ้นไปถึงหน้าถ้ำติ่ง ไหว้พระร่วมกัน ไหว้ธูปมากมายลอยล่อง เข้าตาจนน้ำตาไหล แล้วก็ออกมาถ่ายรูปกันต่อ

ภาพซ้าย เห็นแม่น้ำสองสีมั้ยนั่น

ถ้ำติ่งนั้น จริงๆ มี 2 ถ้ำ คือ ถ้ำเทิง (บน) และถ้ำลุ่ม (ล่าง) ด้วยเวลามีไม่มาก เราจึงอยู่กันแต่ ถ้ำลุ่มเท่านั้น แต่ก็ยังมีบางคนอุตส่าห์ขึ้นไปดูถึงถ้ำเทิง จนเกือบจะไม่ได้กลับด้วยกันเสียแล้ว

ไม่นาน เราก็ข้ามฟากมาทานมื้อเที่ยงกัน อาหารทีนี่เอร็ดอร่อยเหลือหลาย ตั้งแต่มาลาว ยังไม่เจอที่ไหนอาหารไม่อร่อยเลยจริงๆ

อิ่มหนำเต็มที่ ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว เดินกลับลงเรือลำเดิมที่พาเรามา ล่องไปตามน้ำคานแต่ไม่ได้กลับไปยังที่เดิม

เวลา 13.50 น.

เรือจอดเทียบท่าให้เราขึ้นฝั่งที่ “หอพิพิดถะพันแห่งชาด หลวงพะบาง” (หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หลวงพระบาง) ซึ่งก็คือ วังเก่าของเจ้ามหาชีวิต ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่ฝรั่งเศสมาปกครองลาวอยู่ วังแห่งนี้ถูกใช้เพียง 3 รัชกาลเท่านั้น ก่อนระบบกษัตริย์ในลาวจะสิ้นสุดลง

ภายในถูกห้ามถ่ายภาพและวิดีโอ เหลือเพียงแค่ภายนอกเท่านั้นที่ยังพอถ่ายได้ หมูกะหมาได้เห็น “องค์พระบาง” ที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวด้วย เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง และชื่อของเมืองนี้ก็ได้มาจาก “องค์พระบาง” องค์นี้แหละ

นั่งรถสกายแล็ปกันอีกครั้ง ไปเที่ยววัดกันต่อ ครั้งเป็น “วัดวิซุนนะราช” วัดเก่าแก่อีกแห่ง ที่มีพระประธานองค์โต และมีเจดีย์องค์ใหญ่

การเที่ยววัดเป็นส่วนใหญ่ของเรา ทำให้ตระหนักได้ว่า เรามาสัมผัสกับวัฒนธรรมความเป็นหลวงพะบางมากกว่าอย่างอื่น นี่ถ้ามาเที่ยวกันเอง เราคงได้อย่างอื่นมากกว่านี้เป็นแน่ แต่ก็เอาล่ะ การเที่ยวหนแรก การมาทัวร์น่าจะเวิร์ก ถ้ามาหนหน้า คงจะเที่ยวเองแล้วล่ะ ถ้ามีโอกาสนะ

[แล้วมาเจอกันใหม่ ตอนหน้า]
Exit mobile version