เที่ยวภูสอยดาว ตอนที่ 5 | เนินมรณะ(จนได้)

เพียงไม่นาน ผมก็ผ่านมาถึงตอนที่ 5 แล้วรึนี่ บางคนคงนึกสงสัย แค่ภูเดียวจะเขียนอะไรกันได้เป็นคุ้งเป็นแควกันได้ขนาดนี้ ผมเป็นพวกมีนิสัยช่างเขียนครับ เรื่องเล็กเรื่องน้อย เขียนไปเรื่อยเปื่อย ชาวบ้าน เขาเล่ากันตอนเดียวจบ ผมเล่นเล่าไปเก้าตอนสิบตอน

อ่านกันเพลินเลยเชียวละ (สำหรับผู้มีนิสัยรักการอ่านคงชอบอะนะ)

เอาละ วันนี้มาว่ากันต่อ ด้วยเนินสุดท้ายที่หลายคนรอคอย… เนินมรณะไง

———————————-

ศ.7.12.2550 | 15.16 น.

ในที่สุด เราสามคนก็มาถึงเนิ่นสุดท้าย เนินมรณะ ชื่อน่ากลัว หน้าตาของเนินก็น่ากลัวสมชื่อ เมื่อมองขึ้นไปก็พบกับเนินที่สูงชัน ยักซ้ายยักขวา แต่ไม่ยักกะมีที่ให้พักนั่ง เราต้องขึ้นไปเรื่อยๆ หยุดพักหายใจได้ชั่วคราวแล้วขึ้นต่อไปให้ถึงบนสุด

ดูป้ายสิครับ บอกเราว่า เหลือระยะทาง 1.1 กม. เท่านั้น แต่เปลี่ยนโหมดนิดหน่อย จากเดินขึ้นเนิน กลายเป็นโหมดปีนเขาสูงชัน (Climbing) ไปเรียบร้อยแล้ว

ถึงตรงนี้ ส้มที่ท้อในใจ ก็ได้รับการกระตุ้นเร้าด้วยคำพูดต่างๆ นานาจากผมกับวอง ประกอบน้ำดื่มที่พร่องไปมากจนเกือบไม่เหลือ ทำให้ต้องลุ้นกันเต็มที่ว่าจะพากันรอดไปจนถึงจุดหมายหรือไม่ ในที่สุด แม้กระทั่งน้ำของผมก็ถูกตอดไปจนได้ แต่ก็ยังพอมีเหลือจนถึงยอดได้อยู่ ผมคิดเช่นนั้น (หารู้ไม่่ว่า เนินนี้สุดหิน และน้ำเป็นสิ่งที่ต้องการเป็นอย่างมาก) ความที่เป็นเนินสุดท้าย เราซึ่งล้ามาจากหลายๆ เนิน ก็ย่อมเหลือแรงใจแรงกายน้อยลงเป็นธรรมดา แถมยังมาเจอกับสภาพอากาศที่เบาบางลงยิ่งกว่าเดิม ต้องสูดลมหายใจให้ลึกขึ้นกว่าเดิมด้วย แน่นอนว่า งานนี้หินมิใช่น้อย


(นี่มันพืชพันธุ์อะไร เห็นแปลกตา เลยถ่ายมาให้ดูกันครับ)

แต่ด้วยความที่มันใกล้ลานสนเข้าไปมากแล้ว ทำให้ผมตั้งใจจะขึ้นไปให้ถึงข้างบนให้ได้ ผมขึ้นเนินไปเรื่อยๆ แล้วหยุดพักเป็นระยะ บางทีก็หันมาถ่ายรูปบ้าง แล้วก็ขึ้นต่อ เลยมีภาพสวยๆ มาฝากกัน

ผมขึ้นไปจนช่วงกลางๆ ของเนิน จึงหาที่พัก เพื่อรอสองคนนั่นให้ขึ้นมาทัน แดดร้อนจัดแผดเผาผิวหนังบ้าง แต่ยังพอทน ต่างฝ่ายต่างร้องเรียกกันเป็นระยะๆ

ผมเห็นนักท่องเที่ยวสองคนเดินผ่านขึ้นมา ซักถามว่า จะขึ้นหรือจะลง ผมก็ตอบไปว่า “ขึ้นครับ กำลังรอเพื่อน” เขาก็ถามต่อว่า สองคนนั่นใช่ไหม เห็นกำลังแย่ มียานวดหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า เขาเตรียมกันมาหรือเปล่า จึงตอบไปว่า “ไม่น่าจะมี” ในที่สุด เขาก็หยิบน้ำมันมวยออกมายื่นให้ เขาบอกว่า หน้าอย่างนี้ ถือกล้องอย่างนี้ จำได้ แล้วไปเจอกันข้างบน ผมขอบคุณเขา ก่อนที่เขาจะเดินต่อขึ้นไปยังลานสน

ระหว่างนั้น ก็มีลูกหาบแบกของอย่างหนักผ่านขึ้นมา และบอกว่า เพื่อนผมท่าทางจะไม่ไหว ได้คุยกันนิดหน่อย และได้ความว่า วันนี้ เขาแบกของหนัง 36 กก. และแบ่งน้ำส่วนหนึ่งในเพื่อนผมเรียบร้อยแล้ว

ผมรู้สึกได้ถึงน้ำจิตน้ำใจของคนไทยจริงๆ ช่วยเหลือกันโดยไม่คิดเอาบุญคุณ รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้มาที่นี่


(ช่วงหนึ่งของเนินมรณะ ที่เห็นนี่ดูเหมือนไม่ยาก ช่วงที่ไม่ได้ถ่ายมาสิยาก ไม่ได้ถ่ายมาเพราะมันเหนื่อย แฮ่กๆๆ)


(ถึงเหนื่อย แต่มองลงมา ก็ได้วิวที่สวยนะ ขอบอก)


(อันนี้ มองขึ้นไป ไม่เห็นยอด แต่เห็นฟ้าสวยๆ)

สุดท้าย ทั้งสองคนก็ขึ้นมาถึงที่ผมอยู่ ผมสบายใจละ จึงขึ้นต่อไปจนถึงบนสุด ร้องเรียกกันเป็นระยะๆ


(ขึ้นมาได้เกือบถึงจุดบนสุดแล้ว มองลงมา โอ้ นี่ตูขึ้นมาได้ไงเนี่ย)

ขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว ยังไม่จบการเดินบนทางลาดเอียง เพราะยังต้องฝ่าด่านเบาๆ ด่านสุดท้าย เป็นเนินลาดเอียงขึ้นๆ ลงๆ ไม่หนักหนา แต่อาจบั่นทอนกำลังใจคนขี้ท้อได้ เส้นทางต่อจากนี้ จะมีแต่ต้นเฟิร์นรายรอบเราตลอดทางเลยครับ อากาศก็เย็นๆ เงียบดี ขอฉี่สักหน่อย อิอิ…

เดินมาได้สักพัก เกิดห่วงเพื่อนๆ ขึ้นมา เลยเดินกลับไปรอที่ยอดของเนินชันอีกครั้ง

ในที่สุด เราก็เดินมาด้วยกันสามคน มาจนถึงป้ายผู้พิชิต

17.01 น.

ถึงแล้วครับ ลานสน… ใช้เวลาเดินทางไปมากโขทีเดียว จาก 09.23 น. มาถึงป้ายนี้ 17.01 น. รวมเวลาแล้ว 7 ชั่วโมงครึ่งทีเดียว เหอๆ

มองไปเห็นเต็นท์ของพวกเรา และเพื่อนๆ ที่มาถึงก่อนหน้าโบกมือให้ ต้องเดินไปอีกหน่อย จึงจะถึงลานจริงๆ ยังไงก็มาถึงแล้วละเนอะ

——————————–

(ตอนหน้า มาเล่าถึงการใช้ชีวิตบนลานสนดีกว่า เหอๆ)

Exit mobile version