ออกไปข้างนอกในช่วงนี้ในหลายๆ ส่วนของประเทศไทย เราอาจพบว่าบรรยากาศรอบตัวดูหม่นมัวไม่สดใส ด้วยฝุ่นควันมลพิษที่มีสาเหตุต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการเผาไร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือยานพาหนะต่างๆ หลังมองไม่เห็นว่า จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่จะจริงใจและจังจังในการออกมาสร้างมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม ก็คงจำเป็นอย่างยิ่งเลยแหละ ที่เราเองต้องช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการหาซื้อและมีอุปกรณ์กรองอากาศ หรือฟอกอากาศติดไว้ในบ้าน
ทำไมต้องมีเครื่องฟอกอากาศไว้ในบ้าน
หลายคนอาจมองข้ามมันไป ความจริงแล้ว ในช่วงเวลาที่มลภาวะทางอากาศกำลังเพิ่มขึ้นทุกวินาที เครื่องฟอกอากาศพวกนี้มีส่วนช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง รวมทั้งสารพิษในอากาศภายในบ้านของเรานะครับ สารพิษเหล่านี้อาจเกิดได้จากทั้งสารเคมี ทั้งการเผาใบไม้เศษหญ้าภายในบ้านเราเอง หรือการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ พวกนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ และเมื่อลดปริมาณฝุ่นและสารพิษลง ก็ทำให้เราหายใจสะดวกขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคทางเดินหายใจได้ด้วยนั่นเองครับ
เหตุใดจึงเลือก เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi (เสี่ยวมี่)
อันที่จริง ในตลาดของเครื่องกรองอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศทุกวันนี้นั้นมีให้เลือกกันมากมายหลายแบรนด์ เหตุใด เราจึงเลือก Xiaomi เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อมีข้อดีอยู่หลายข้อด้วยกันครับ
- การกรองอากาศแบบ 360 องศา รวมทั้งการมีความหมุนเวียนของอากาศที่เร็วของเครื่องฟอกแบรนด์นี้เนี่ยแหละ ที่ทำให้สามารถกรองฝุ่นละอองและสารพิษได้มากกว่าเครื่องฟอกอากาศปกติ
- อันต่อมาคือเทคโนโลยี HEPA ที่สามารถกรองออกซิเจนขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน จึงทำให้สามารถกรองออกซิเจนเยี่ยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควบคุมด้วยระบบ AI ช่วยปรับตั้งค่าการทำงานของเครื่องให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
- ตรวจจับคุณภาพอากาศแบบ Real-time ความแม่นยำในการตรวจจับอากาศสกปรกและสารพิษต่างๆ ในอากาศถือเป็นข้อเด่นของแบรดน์นี้เลย
- เซ็นเซอร์ที่วัดระดับความเร็วของลมของ Xiaomi ทำให้เครื่องฟอกอากาศสามารถควบคุมความเร็วของพัดลมได้อย่างแม่นยำ ทั้งังสามารถปรับตั้งค่าการทำงานได้ตามต้องการ
- ที่เหลือก็เป็นเรื่องความน่าเชื่อถือในแบรนด์ หลังจากที่ผ่านมา เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ Xiaomi ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ทั้งหมดนี้ ก็พอจะทำให้มองเห็นได้ว่า หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือสักเครื่องหนึ่ง
เลือก เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi รุ่นไหนดี
หลังจากเราเลือกแบรนด์ได้แล้ว ทีนี้ ก็คงมาถึงขั้นตอนของเลือกรุ่น ก็คงต้องยอมรับว่า แบรนด์นี้เขาผลิตเครื่องฟอกอากาศออกมาวางจำหน่ายกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีหลายรุ่นให้เลือกตัดสินใจซื้อกัน ซึ่งเราจะเลือกรุ่นไหนก็คงต้องแล้วพื้นที่และฟังก์ชันในการใช้งาน และที่สำคัญคือราคาไงล่ะครับ
Xiaomi Smart Air Purifier 4 Compact
เริ่มต้นด้วยตัวแรกกันก่อน Xiaomi Smart Air Purifier 4 Compact เครื่องนี้ เน้นเป็นเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กที่ออกแบบและเหมาะกับการใช้เพื่อตรวจจับและกำจัดฝุ่นละอองภายในห้อง เหมาะพื้นที่ขนาด 48 ตร.ม. กะทัดรัดและเคลื่อนย้ายสะดวก ในด้านรูปลักษณ์หน้าตา ผมมองว่ามันดูดีน่าใช้ ดีไซน์ของมัน ไม่ว่าจะใช้แบบวางตั้งโต๊ะหรือตั้งกับพื้น มันก็กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์หรูประดับห้องได้เลยเชียวล่ะ
ด้านคุณสมบัติของเครื่องรุ่นน่ะเหรอ มันมีระบบไส้กรองแบบ 3-in-1 ประกอบไปด้วยฟิลเตอร์ HEPA ที่สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กสุดถึง 0.3 ไมครอน แล้วก็ยังมีแสงอัลตราไวโอเลต UV-C ที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเชื้อราในอากาศได้อีก มีระบบตรวจจับคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติมองเห็นเด่นชัดทางจอ LED มีทั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นละออง PM 2.5 และ VOC (Volatile Organic Compounds) ที่ตรวจจับสารพิษ มีแอปพลิเคชัน Mi Home บนสมาร์ทโฟน ควบคุมผ่าน Wi-Fi ที่ทำให้เราตั้งค่า, ควบคุมอุณหภูมิและความเร็วของพัดลมได้ แถมควบคุมด้วยเสียผ่าน Google Assistant หรือ Amazon Alexa ได้อีก แค่พูดว่า “Alexa, turn on the Air Purifier” มันก็เปิดการทำงานให้แล้ว โคตรสะดวกเลยครับ
นอกจากนี้ ก็ยังมีไฟ LED คอยบอกสคุณภาพอากาศภายในห้อง อีกอย่างที่สำคัญเลยก็คือ มันมีหลายโหมดให้เลือกครับ ไม่ว่าจะเป็น โหมดอัตโนมัติ โหมดการนอน (ที่จะเงียบเป็นพิเศษ) และโหมดควบคุมด้วยตัวเอง (Manual) อ้อ สำหรับใครที่สนใจเรื่องอายุการใช้งานของตัวกรอง จะอยู่ที่ 6-12 เดือนครับ
ข้อดี: | ข้อเสีย: |
– มีเทคโนโลยีกรองอากาศชั้นสูง ช่วยกรอกอนุภาคต่างๆ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ – มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศภายในห้อง รวมถึงค่า PM2.5 และ VOCs – หน้าจอ LED ที่แสดงผลข้อมูล – เชื่อมต่อ WiFi ทำให้สามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้ง่าย ๆ – มีหลายโหมด ปรับการทำงานของเครื่องตามสภาพอากาศและการใช้งาน – มีฟังก์ชั่น Voice control ควบคุมด้วยคำสั่งเสียงได้ผ่าน AI assistant – ดีไซน์สวยงาม และขนาดกระทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก | – ใช้ HEPA filter จะทำให้ต้องเปลี่ยนตัวกรองอย่างสม่ำเสมอ – มีเสียงดังเมื่อไม่ใช่ Night Mode |
Xiaomi Mi Smart Air Purifier 4 LITE
ก่อนจะไปถึง Mi Air Purifier 4 เรามาดูที่ Mi Air Purifier 4 LITE ก่อนดีกว่า ใครที่ติดว่าทุนไม่มากพอ อาจลองพิจารณาตัวนี้ก่อน 3 พันกว่าบาทก็ซื้อได้แล้ว ตัวนี้จะใหญ่ขึ้นมาหน่อย ใช้งานได้กับห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องรับแขก หรือห้องไหนก็ได้ที่มีขนาด 26-45 ตร.ม. เป็นเครื่องฟอกอากาศที่แม้จะดูตัวเล็ก แต่ประสิทธิภาพนั้นไม่ถือว่าเล็กเลยล่ะครับ อย่างที่เขาคุยไว้ว่า มันสามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ได้มากถึง 6,330 ลิตร/นาที เปิดเพียงไม่กี่อึดใจ ก็เปลี่ยนอากาศที่แย่ๆ ในห้องให้บริสุทธิ์ได้ทันที แถมก็ไม่ได้กรองแต่ฝุ่น PM 2.5 ยังกรองได้ทั้ง ฝุ่นละอองต่างๆ รวมทั้งละอองเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ กลิ่นสัตว์เลี้ยง และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ก็ถูกกรองไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังกรองฝุ่นได้รอบทิศทางแบบ 360° ตั้งวางตรงไหนก็กรองได้ทั้งห้อง ว่างั้น!
ฟังก์ชันต่างๆ ก็ยังมากันครบ ทั้งกรองแบบ 3 ชั้น ควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Mi Home บนมือถือ มีไฟ LED บอกปริมาณค่าฝุ่น อุณหภูมิ, และความชื้นในห้อง และแน่นอนมีเซนเซอร์ตรวจจับฝุ่นละออง สามารถตรวจจับได้เล็กสุดถึง 0.3 µm (ไมครอน) เช่นเคย ในส่วนโครงสร้างของเครื่องนั้น เขาก็ออกแบบมาอย่างดี ไม่ต้องห่วงเลย เพียงไม่กี่ขั้นตอน ก็สามารถจะถอดประกอบเพื่อเปลี่ยนไส้กรองได้ง่ายไม่ยุ่งยากจริงๆ ครับ
ข้อดี: | ข้อเสีย: |
– มีเทคโนโลยีกรองอากาศชั้นสูง รวมถึง HEPA filter และ activated carbon filter ช่วยกรองอนุภาคต่างๆ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ – มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศภายในห้อง รวมถึงค่า PM2.5 – Auto Mode ปรับการทำงานของเครื่องตามสภาพอากาศและการใช้งาน – ดีไซน์สวย ขนาดกระทัดรัด ไม่เปลืองพื้นที่ เคลื่อนย้ายสะดวก – ราคาเหมาะสม | – ไม่มีฟังก์ชั่น Voice Control หรือการเชื่อมต่อ WiFi เพื่อควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน – ไม่มี Night Mode หรือการปรับเสียงเครื่องให้เงียบตอนนอนหลับ – ความสามารถในการกรองอากาศไม่ได้ทันสมัยเท่ากับรุ่นอื่นๆ จึงเหมาะจะใช้เป็นตัวเสริมกำลัง |
Xiaomi Mi Smart Air Purifier 4
เอาล่ะ มาถึงตัวที่ใหญ่อย่างเครื่องฟอกอากาศ Mi Air Purifier 4 บ้าง ตัวนี้จะเหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 28-48 ตร.ม. ผลิตอากาศบริสุทธิ์ได้มากถึง 6,660 ลิตร/นาที สามารถกรองอากาศได้สูงสุดถึง 320 ม³/ชม. ซึ่งถือว่าสูงมาก บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่อง กรองได้ทั้งฝุ่น PM2.5, ฝุ่นละอองต่างๆ, ขนสัตว์, เกสรดอกไม้, กลิ่นสัตว์เลี้ยงและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ หน้าจอแสดงผลแบบ OLED สามารถบอกค่าปริมาณฝุ่น, อุณหภูมิและความชื้นในห้องได้ ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนกว่า ซึ่งจะว่าไป คุณสมบัติและฟังก์ชันของทั้งสองตัว ดูเผินๆ อาจคิดว่าไม่ต่างกันมาก แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องบอกว่าได้มากกว่า Mi Air Purifier 4 LITE ไม่ว่าจะเป็น
- ดีไซน์และขนาด: Mi Air Purifier 4 จะมีขนาดใหญ่กว่า มีหน้าจอ LED ขนาดใหญ่แสดงผลต่างๆ และมีควบคุมด้วยเสียงได้ ในขณะที่ 4 LITE นั้นมีหน้าจอขนาดเล็กกว่าและไม่มีฟังก์ชันควบคุมด้วยเสียง
- ความดัง: Mi Air Purifier 4 เสียงจะดังกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ที่ ≤ 64dB(A) โหมดกลางคืน เสียงรบกวนจะอยู่ที่ที่ 32.1dB(A) ในขณะที่ 4 LITE จะมีเสียงรบกวนอยู่ที่ ≤ 61dB(A) โหมดกลางคืนเสียงรบกวนต่ำเพียง 33.4dB(A)
- พื้นที่การทำงาน: Mi Air Purifier 4 จะใช้กับพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า คือ 28-48 ตร.ม. ส่วน 4 LITE จะเหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กกว่าคือ 25-43 ตร.ม.
- ราคา: อันนี้ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วว่า Mi Air Purifier 4 จะต้องมีราคาที่สูงกว่าตัว 4 LITE
ข้อดี: | ข้อเสีย: |
– มีหัวกรองแยกประเภท 2 ชั้น (HEPA และหัวกรองแบบน้ำ) ทำให้กรองอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ – มีระบบเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับคุณภาพอากาศ เช่น อนุภาค PM 2.5, อุณหภูมิ, และความชื้น – ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องฟอกอากาศผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งยังตรวจสอบสถานะการทำงานของเครื่องฟอกอากาศได้ด้วย – ดีไซน์สวยงาม และมีหน้าจอแสดงผล | – ราคาค่อนข้างสูงแต่ไม่มาก เหมาะสำหรับคนพอมีงบ – ด้วยขนาดตัว จึงยังไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการกรองอากาศลดน้อยลงไป – ต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ – อาจมีเสียงดังเล็กน้อย |
Xiaomi Mi Air Purifier Pro H (รุ่นใหม่ล่าสุด)
หลายคนก็อาจจะคิดเหมือนๆ กันว่า การลงทุนกับสุขภาพเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดมากเรื่องเงิน จะซื้อทั้งที เอาตัวที่ใหญ่ๆ ดีๆ ไปเลย ก็ต้องขอแนะนำตัวนี้ครับ Xiaomi Mi Air Purifier Pro H เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดจากเสี่ยวมี่ เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการกรองอากาศให้บริสุทธิ์ภายในห้องพักหรือในสำนักงาน ด้วยการขยายศักยภาพสำหรับพื้นที่ถึง 72 ตร.ม. (ขยับจาก Mi Air Purifier 4 Pro ที่ทำได้ 60 ตร.ม. ออกไปอีก) เรียกได้ว่า แค่มีเจ้านี่เครื่องเดียวก็ทำให้อากาศของสำนักงานเล็กๆ ของคุณสะอาดได้ทันตา
กรองอากาศ 360 องศา ด้วยฟิลเตอร์ 3 ชั้น อันได้แก่ Cloth Primary Filter, HEPA H13 Filter และ Activated Carbon Filter ด้วยฟิลเตอร์ HEPA H13 เนี่ยแหละทำให้มันกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ 99.97% ซึ่งก็รวมไปถึง PM2.5, แบคทีเรีย, เชื้อไวรัส และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ด้วย ถ้าเอาเฉพาะ PM2.5 เจ้าเครื่องนี้มีเซนเซอร์แบบ Dual Laser ตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กอย่างแม่นยำสูง ทั้งยังแสดงค่าคุณภาพอากาศ AQI ได้แบบเรียลไทม์ ถ้าพูดถึงความสามารถในการกรองอากาศ เครื่องนี้ทำได้สูงถึง 600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงซึ่งถือเป็นค่าที่สูงมาก ที่ขาดไม่ได้ก็คือมีระบบควบคุมแบบอัตโนมัติ และฟังก์ชันการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Mi Home ที่ทำให้เราควบคุมการทำงานของเครื่องผ่านมือถือของเราเองได้
ข้อดี: | ข้อเสีย: |
– ระบบกรองอากาศแบบ 360 องศา สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ไมครอน ได้มากถึง 99.99% และ PM 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99.97% – เซ็นเซอร์ช่วยควบคุมการทำงานของเครื่องให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ – มีเซ็นเซอร์ตรวจจับคุณภาพอากาศที่มีความไวต่อการตรวจจับฝุ่นละอองและสารปนเปื้อนในอากาศ – ระบบควบคุมด้วยแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ผู้ใช้งานสามารถปรับความเร็วของพัดลมหรือเปิด/ปิดฟังก์ชันการกรองได้ด้วยตัวเอง – ดีไซน์ที่สวยงาม | – ราคาค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับคนมีงบ – ขนาดที่ใหญ่ทำให้ไม่เหมาะสมกับบ้านหรืออพาร์ทเม้นท์ที่มีพื้นที่จำกัด – เสียงขณะทำงานต่ำสุดที่ 34.1 เดซิเบล – ต้องเปลี่ยนกรองอากาศเป็นระยะเวลาที่กำหนด ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม – ไม่สามารถใช้ได้กับไฟฟ้า 110V ซึ่งอันนี้คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไทย |
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะได้เครื่องฟอกอากาศแบรนด์ Xiaomi รุ่นที่ใช่กันแล้วใช่มั้ยครับ ยังไงก็ตาม ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี และอย่าลืมดูแลคนรอบข้างด้วยนะครับ