เย็นย่ำของวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554 นายแพทรุดออกจากออฟฟิศมุ่งหน้าออกเดินทาง สู่ดินแดนศูนย์กลางวัยรุ่นสมัยนี้ (ซึ่งจริงๆ ก็เคยเป็นตอนสมัยเราเป็นวัยรุ่นเช่นกัน) สยามสแควร์ ณ ที่ตั้งของ Scala โรงภาพยนตร์ที่มีเอกลักษณ์ ด้านความโอ่อารโหฐาน และ “ดูเก่าขลัง” อย่างน่าประหลาดแห่งนั้น
ทุกๆ ครั้งที่งานนี้จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ผมก็มักจะไปร่วมงานทุกครั้ง ไม่ว่าจะทีลุมพินีสถาน หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนครั้งนี้ “Ignite Thailand++“ ย้ายมาจัดที่โรงภาพยนตร์บ้าง อาศัยว่าการเดินทางมานั้นแสนง่าย เพียงมีรถไฟฟ้า BTS ก็ไปถึงงานได้แล้ว
เพียงไม่กี่นาที ผมก็พาตัวเองเดินทางมาถึงสถานี “สยาม” ได้เวลาของ “PatSonic” จะได้ฤกษ์เริ่มเล่าบรรยายบรรยากาศของการร่วมงานครั้งนี้เสียที ผมเดินอย่างลำบากยากเย็นฝ่าฝูงชนที่แออัด เพราะร้านค้าบนทางเท้าตลอดเส้นทางก่อนจะไปถึง “โรงหนังสกาล่า” ที่คุ้นเคยได้ทันเวลา
ไปถึงโรงหนังที่คุ้นเคย ลงทะเบียนเสร็จ มาหยิบขนมปังและน้ำใบบัวบกทานแก้หิว ก่อนจะได้เวลาเข้าโรงหนัง เข้าห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยก็ลงไปนั่ง ก่อนจะพบว่าไม่นานทุกอย่างก็เริ่มขึ้น ด้วยการแสดงของศิลปินพิการ คุณดำ ตีสิบ หรือ ก้องภพ แก้วเรือง เล่น 2 เพลงแต่เพราะเหลือหลาย ก่อนจะเริ่มเข้าสู่พิธีการแบบสั้นๆ และเข้าสู่ช่วงเวลาของการพูดบรรยายพร้อมสไลด์ คนละ 5 นาที
เป็นอีกครั้งที่ผมเปิดมือถือในโรงหนัง!
เริ่มตั้งแต่ พระไพศาล วิสาโล เรื่อยไปอย่างไม่หยุดพักจนถึง Igniter คนสุดท้าย ศจ.ดร.ระพี สาคริก แต่ละคนขึ้นมาพูดด้วยเรื่องราวและแง่มุมที่แตกต่างกันไป บางคนพูดแล้วรู้สึกเฉยๆ บางคนพูดขึ้นแล้วรู้สึกประทับใจมาก บางคนก็มีลีลาการพูดที่ฮามาก ทำให้คนหัวเราะได้แม้จะมีเวลาเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น ขอสรุปมาอย่างย่นย่อพอเป็นพิธีก็แล้วกันว่าผมประทับใจ Igniter ท่านไหน
คุณพรวรินทร์ นุตราวงศ์ พยาบาลวิชาชีพที่เชื่อว่า เราจะรักษาคนไข้ได้ด้วยความรัก เธอใช้ “การกอด” เป็นยารักษา ยืดอายุผู้ป่วยที่ใกล้ตัวและใกล้ตาย ให้อยู่ต่อได้อีกหลายเดือนและบางคนหลายปี เล่าด้วยคำพูดที่เร็วไปเล็กน้อย แต่เรื่องราวน่าประทับใจ “วันนี้สุดยอด”
คุณสายแจ้ง รื่นกลิ่น คนพิการตาบอด แต่เขาบอกว่า “ความสุขอยู่ที่ใจ” ไม่เกี่ยวกับว่าต้องอาการครบ 32 ท่านมาแค่ไหน ก็ทำแค่นั้น มีคนตาบอดมาบอกคนตาดี พลังใจต้องเพิ่มขึ้นสิครับ
คุณวรวิทย์ ตัณวุฒิบัณฑิต เจ้าของหอดูดาวบัณฑิต สนใจใฝ่รู้เรื่องดวงดาวมาแต่เล็ก โชว์ภาพที่ถ่ายดวงดาวที่ถ่ายไว้ด้วยตัวเอง และยังเปิดค่ายตามที่ต่างๆ ให้เด็กๆ รู้จักกับดวงดาว เปิดหอดูดาวของตัวเองให้เด็กๆ เข้ามาดู และบอกว่า “ท้องฟ้าเป็นห้องเรียน” เด็กๆ ผมก็ชอบดูดาวเหมือนกันครับ
คุณวนิษา เรซ (หนูดี) เธอมาด้วยชุดสีสันสดใส สว่างมาเชียวตั้งแต่เดินขึ้นเวที เธอพูดถึงเรื่องของการ “บวก” เวลาดี ค้นหาเวลาที่หายไป ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เชิงลบต่างๆ การปฏิเสธเชิงบวก ค้นหาเวลาที่หายไปจากทีวีและโทรศัพท์ จัดการเวลาให้กับการเล่นเพื่อพัฒนาสมอง ชีวิตควรมีทั้งเวลาสำหรับการ “อ่านเร็ว” และไม่ลืมเผื่อเวลาสบายๆ ให้การ “อ่านช้า” บ้าง แววความเป็นเซเล็บเต็มเปี่ยม มีคนขอถ่ายรูปด้วยเยอะที่สุดเลยล่ะ
ดร.อาบทิพย์ ธีรวงศ์กิจ อาจารย์ด้านหุ่นยนต์ แต่เธอเลือกที่จะมาเล่นขิมประกอบพรีเซนเทชั่น อีกหนึ่งความน่าประทับของค่ำคืนนั้น กับเพลง “Man in a Mirror” ของไมเคิล แจ็คสัน และ “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ของเบิร์ด ธงไชย กับหัวข้อ “A Note to A Song” บอกพวกเราให้มาทำดีด้วยกัน ชวนกันทำความดีคนละ 1 เรื่อง อะไรที่ทำด้วยใจ ยิ่งใหญ่เสมอ แม้จะใช้เวลาในการรอเนิ่นนานเพราะปัญหาทางด้านเทคนิค แต่ก็ไม่ทำให้โชว์นั้นลดความน่าประทับใจลงเลย
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงราวาสวัสดิ์ อีกหนึ่งผู้พูดที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากมาย นอกจากจะบอกว่าตัวเองไม่บวกแล้ว ยังออกจะลบๆ อยู่หน่อยๆ ด้วย เปิดคลิปนกเพกวินที่ขั้วโลกให้ดู “เราไม่สอนให้เพนกวินว่ายน้ำ เราสอนให้บินได้” ในคลิป นกเพนกวินว่ายน้ำได้จริงๆ นะครับ ชอบใจกันทั้งโรงเลย มีสองประโยคที่ยังติดอยู่ในใจ “ผมไม่สนใจสังคม ผมสนใจตัวผมเอง” และ “ผมไม่ทรยศตัวเอง” โอ้ว…
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ ด็อกเตอร์ที่ทำคนน้ำตาร่วงทั้งหอประชุมจุฬาฯ มาแล้ว มาครั้งนี้ไม่เลือกพูดในเรื่องที่จะทำตัวเองร้องไห้ แต่ยังพอซึ้งได้อยู่ เล่าเรื่องหญิงที่อุ้มลูกน้อยเดินผ่านจุดทิ้งขยะแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ ใช้มือปิดจมูกลูกน้อยแต่ยินยอมสูดกลิ่นเหม็นๆ นั้นแทนลูก ความรักของผู้เป็นแม่ที่ด็อกเตอร์ประทับใจ
คุณมาร์ติน วีลเลอร์ ฝรั่งอังกฤษหัวใจไทย ชอบเที่ยวจนมาเมืองไทย ชอบใจอยู่ยาวมีเมียจนไปอยู่อีสาน พบว่าเมืองไทยดีกว่าอังกฤษมากมาย โดยเฉพาะอิสรภาพ – พึ่งตนเอง และ กำลังชีวิต ในสังคมที่มีความยุติธรรม มุมมองจากคนนอก เล่าด้วยภาษาอีสานสำเนียงฝรั่ง ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ฟังคำไหนออกก็ฮาคำนั้น อีกหนึ่ง Igniter ที่แสนประทับใจ ทิ้งท้ายโดนๆ “รักตัวเอง รักกันไว้ อย่าฆ่ากันอีกนะ มันไม่จำเป็น”
ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก นักวิชาการกล้วยไม้ที่มีชื่อเสียง แม้เรื่องราวบนสไลด์จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่พูด แต่ศาสตราจารย์ผู้อายุกว่า 90 ปีก็พูดจาได้น่าฟังและกินใจ ปิดท้ายด้วยเสียงร้องสดยาวๆ เต็มเพลง “บ้านเรา” ก่อนได้เวลาปิดงาน
คนอื่นที่ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่า พูดไม่ดี แต่ผมไม่ได้ประทับใจเท่านั้นเอง
ผมกลับมาใช้ชีวิตเดิมๆ กับผู้คนเดิมๆ แต่พยายามเพิ่มสสารการมองโลกในแง่ความเป็นจริงให้มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่า การมองโลกตามความเป็นจริง คือ การมองโลกในแง่บวกในแบบของผม
ขอบคุณ: เครือข่ายพลังบวก และ Kapook ที่ร่วมกันจัดงานนี้ และให้ผมได้ร่วมงานครับ
ป๋มชอบคุณมาร์ตินมาก ง่าย ๆ ตรง ๆ กินใจ ผมอยากให้คนบ้าคลั่งการเมืองทั้งหลายคิดได้แบบที่เขาพูดเตือนคับ ^^
ชอบคุณมาร์ตินเหมือนกันครับ ดูจริงใจ บ้านๆ ดี ชอบ