หลายครั้ง ตำนานก็ถูกนำมาเล่าใหม่ หลายครั้ง การเล่าก็ไม่มีอะไรใหม่ หลายครั้ง การเล่าที่พยายามเสนออะไรใหม่แต่กลับดูน่าเบื่อ แต่ครั้งนี้ การนำนิทานที่คนรู้จักกันทั่วโลกมาเล่าใหม่ กลับทำได้พอเหมาะพอสมจนกลายเป็นหนังที่สนุกไปได้ ผมกำลังหมายถึง ‘Jack the Giant Slayer’ อยู่ครับ
มันคือจุดเริ่มต้นของคนเล็กๆ ที่หาญกล้าหวังในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินตัว หลายคนอาจจะเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว บ้างประสบความสำเร็จและนำมาบอกเล่าให้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ บ้างล้มเหลวและปัจจุบันเปลี่ยนความคิดในการตามล่าเป้าหมายไปแล้ว แต่ ‘Jack the Giant Slayer’ หรือ ‘แจ็คผู้สยบยักษ์’ อาจกำลังพยายามจุดประกายให้เรายังไม่ล้มเลิกมัน
พวกเราหลายๆ คนคงเติบโตมาพร้อมๆ กับนิทานของ ‘แจ็คผู้ฆ่ายักษ์’ แต่หนังเรื่องนี้เลือกจะหยิบเทพนิยายมากกว่า 1 เรื่องมาผสมผสานเป็นเรื่องใหม่ มองว่ามันเป็นตำนานที่เล่าสืบกันมาเนิ่นนานจนไม่มีใครรู้ว่ามันมีจริงหรือไม่ เป็นนิทานเล่มเล็กๆ ที่พ่อแม่เอาไว้เล่ากล่อมเด็กนอน มนุษย์หนุ่มชาวนานามแจ็ค และเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์นามอิสซาเบลก็เติบโตมากับตำนานเรื่องนั้น
พวกเขาไม่เคยจะรู้เลยว่า ตำนานที่เล่ากันมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง
รีวิวหนัง ‘Jack the Giant Slayer’
ถ้าหนุ่มชาวนาจะหลงรักกับเจ้าหญิง ก็คงจะมีในเทพนิยายเท่านั้น และในเทพนิยายก็ย่อมจะมีเรื่องเหลือเชื่ออย่างต้นถั่วยักษ์ที่โตจนสูงเสียดฟ้าได้ในชั่วข้ามคืน ไม่พอ เหล่าผู้ชั่วร้ายในนิทานก็มักจะหลงใหลในเงินทองของมีค่าถึงขั้นสะสมไว้เป็นโกดัง หากแต่มันถูกเล่ามาได้ลงตัวทำให้เราได้อารมณ์ดีกับเรื่องราวในช่วงเริ่มต้นและลงท้ายด้วยการลุ้นในฉากแอ็คชั่นสไตล์ “นิทานๆ” อย่างที่เห็น
เมื่อถั่วในนิทานเกิดจับพลัดจับผลูมาอยู่ในมือแจ็ค และโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาพลาดทำให้ต้นถั่วเติบโตขึ้นไปถึงดินแดนของยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือเมฆ ทั้งยังเอาบ้านที่มีเจ้าหญิงแสนสวยผู้รักในการผจญภัยลอยขึ้นไปด้วย ภารกิจช่วยชีวิตเจ้าหญิงจากมือยักษ์จึงเริ่มต้นขึ้น แถมยังมีชายที่ผู้เป็นพ่อหมายมั่นและเหล่าองครักษ์ขึ้นไปด้วย หนึ่งในนั้นมีเป้าหมายชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ด้วย พอคนเริ่มเยอะ ก็เริ่มใส่บทบาทที่ซับซ้อนเข้าไปได้อีก ซึ่งคนเขียนเขาก็ทำได้ดี ช่วงครึ่งหลังคนดูนั่งลุ้นกันสนุกทีเดียว
พระเอกแจ็ค ถั่วฉัน เขาคนนั้นคือ Nicholas Hoult (พระเอกคนเดียวกับซอมบี้มีรักใน ‘Warm Bodies’ นั่นแล) ซึ่งแม้ว่าจะหล่อแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้ Ewan McGregor ในบทบาทองครักษ์สุดเก่งของผมไปได้หรอกครับ ขณะที่เจ้าหญิงอิสซาเบลของเราก็รับบทโดย Eleanor Tomlinson สาวแสนสวยที่เคยเป็นฟิโอน่าสุดน่ารักใน ‘Alice in Wonderland’ ในเรื่องนี้เธอเป็นสาวเต็มวัยน่ามองและเข้ากับลุคเจ้าหญิงผู้น่าทะนุถนอมเอามากๆ อีกสองคนที่มองข้ามไม่ได้ก็คงจะเป็น Ian McShane ผู้เป็นกษัตริย์ของเมืองและเป็นพระบิดาของเจ้าหญิงอิสซาเบล แม้ว่าบทบาทจะไม่มีอะไรมากแต่ก็ทำให้เรายิ้มได้ อีกคนคือ Stanley Tucci เขาเป็นสีสันของเรื่องทีเดียวอย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ของเรื่องราวแหละน่า
จะว่าไป ถ้าดูกันแบบจับผิด ก็อาจจะพบว่าหลายๆ จุดใน ‘Jack the Giant Slayer’ ก็ดูรั่วๆ ดูไปก็งงๆ ว่าเขาพลาดรายละเอียดบางอย่างไปได้ไงนะ แต่ถ้าดูรวมๆ แล้วก็พบว่า เอาก็จับเอานิทานแจ็คผู้ฆ่ายักษ์มาเล่าใหม่ได้น่าติดตามดี แม้ว่ามันจะไม่ได้มีอะไรใหม่มากมายนัก และคนดูหนังอย่างเราๆ ก็พอจะจับทางได้ไม่ยากก็ตาม
ในขณะที่เมื่อมองในกาน CG หนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีพอประมาณ อาจไม่เนียนนักแต่ก็จัดการเรื่องการเคลื่อนไหวได้ดี หากจะพยายามดูที่เนื้อเรื่อง มันก็คือการเล่าแบบนิทาน อาจไม่มีสิ่งใดเป็นไปได้ในโลกจริง ลูกชาวนาน่ะหรือจะคิดใฝ่สูงเด็ดดอกฟ้า เขาคงตกลงมาปางตายเสียก่อนจะได้พบภาพตัวเองในพิธีแต่งงานกับหญิงสูงศักดิ์ แต่แจ็คกลับกลายเป็นคนธรรมดาที่ทำภารกิจฮีโร่อันนั้นเพื่อคนที่เขารัก หนังเต็มไปด้วยตัวละครที่มีความคิดและนิสัยที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ต่างจากสังคมจริงๆ ที่เราอยู่ ทำให้เราคล้อยตามไปกับเรื่องได้ง่าย
หนังยังมีแง่มุมของการมองโลกในแง่ดี หากว่าเจ้าหญิงไม่ฝักใฝ่การผจญภัยนอกวังและล่ะก็ เธอก็คงจะไม่ได้พบกับเขา และถ้าเธอไม่รักในการผจญภัย เหตุการณ์บางอย่างก็อาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็นในหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้…
“ฟี ไฟ โฟ ฟัม อย่ากังขายามฟ้ามืดดำ …”
ชื่อภาพยนตร์: Jack the Giant Slayer / แจ็คผู้สยบยักษ์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Bryan Singer
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Darren Lemke (screenplay), Christopher McQuarrie (screenplay), Dan Studney screenplay), Darren Lemke (story), David Dobkin (story)
นักแสดงนำ: Nicholas Hoult, Stanley Tucci, Ewan McGregor, Eleanor Tomlinson, Ian McShane
แนว/ประเภท: Adventure, Drama, Fantasy
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
ความยาว: 114 นาที
ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: New Line Cinema, Legendary Pictures, Original Film
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 28 กุมภาพันธ์ 2556
แจ็คผู้สยบยักษ์
Jack the Giant Slayer - 7.2
7.2
Jack the Giant Slayer
ในขณะที่เมื่อมองในกาน CG หนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีพอประมาณ อาจไม่เนียนนักแต่ก็จัดการเรื่องการเคลื่อนไหวได้ดี หากจะพยายามดูที่เนื้อเรื่อง มันก็คือการเล่าแบบนิทาน อาจไม่มีสิ่งใดเป็นไปได้ในโลกจริง หนังเต็มไปด้วยตัวละครที่มีความคิดและนิสัยที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ต่างจากสังคมจริงๆ ที่เราอยู่ ทำให้เราคล้อยตามไปกับเรื่องได้ง่าย
ช่วงนี้มีหนังแนวนี้่ออกมาหลายเรื่อง แต่ก็น่าดูครับ