รีวิวหนัง Alienoid วายร้ายเอเลี่ยน | ยำไซไฟ โครยอ ย้อนเวลาทะลุมิติ

ถ้าใครติดตามแพทโซนิคบล็อกอยู่บ่อยๆ ก็คงจะรู้สึกอยู่บ้างว่า เจ้าของบล็อกค่อนข้างจะเสพผลงานจากคาบสมุทรเกาหลีมากเป็นพิเศษ บางเรื่องก็เล่าเรื่องโลกในอนาคต บางเรื่องเล่าเกาหลีในยุคสมัยใหม่ บ้างย้อนไปเล่าเกาหลีในวันเก่า แต่ก็มีหลายเรื่องก็ย้อนยุคไปไกลเป็นร้อยปีเลยเชียว และก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าวันหนึ่งจะมีหนังสักเรื่องที่เอาทุกอย่างมาคนรวมกัน หนังเรื่องนั้นคือ ‘Alienoid’ หรือชื่อไทย ‘วายร้ายเอเลี่ยน’ นั่นแหละครับ

หนังเรื่องนี้ได้ข่าวว่าได้ผลตอบรับด้านรายได้ที่ไม่ใคร่สมหวังนักในบ้านเกิด แต่ที่สุดแล้ว คนทั่วโลกก็ได้ดูหนังเรื่องนี้ผ่านบริการสตรีมมิ่งชื่อดังอย่าง Amazon Prime Video และก็เป็นข่าวดีประมาณหนึ่งเมื่อทางผู้กำกับ Choi Dong Hoon ออกมาบอกแล้วว่าจะสร้างภาค 2 อย่างแน่นอน ตรงนี้เหมือนเป็นสปอยล์กลายๆ ว่าหนังเรื่องนี้จบแบบไม่จบ

แต่เอาเป็นว่า ถ้าอยากสนุกกับหนังเรื่องนี้ก็ตามมาดูกันเลยครับผม

เรื่องย่อหนัง ‘Alienoid วายร้ายเอเลี่ยน’

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เอเลี่ยนบุกโลกมนุษย์เพื่อภารกิจบางอย่าง พวกเขามายังโลกเพื่อกักขังนักโทษเอาไว้ในร่างมนุษย์ (โดยที่มนุษย์เจ้าของร่างไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่ามีเอเลี่ยนสิงอยู่) และเมื่อมนุษย์ตาย นักโทษที่ถูกกักขังก็จะตายไปด้วย เมื่อพบว่ามีการแหกคุกอยู่เนืองๆ ทำให้การ์ด (คิมอูบิน/Kim Woo Bin จากซีรีส์เรื่อง ‘Uncontrollably Fond’ และ ‘Our Blues’) ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่มาพร้อมหุ่นธันเดอร์ก็ต้องคอยกำจัดให้เข้าที่เข้าทาง

ย้อนกลับไปในยุคโครยอ ช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งจะกลายเป็นของที่มีคนตามหาและต้องการจะครอบครองกันอย่างมาก รวมทั้ง นักพรตมูรึก (รยูจุนยอล/Ryoo Joon Yeol) และอีอัน (คิมแตรี/Kim Tae Ri) ทั้งยังเกิดเหตุมีเหล่าเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่งที่บุกมายังโลก ความวุ่นวายนี้จะนำไปสู่อะไร เรื่องราวแท้จริงเกี่ยวข้องกันอย่างไร เชิญติดตามรับชมได้ ณ บัดนาว

รีวิวหนัง ‘Alienoid วายร้ายเอเลี่ยน’

ความสนุกของหนังมันที่อยู่ตรงไหนกันบ้างนะ เอาจริงๆ มันก็มีอยู่หลายจุดเลยแหละ ตั้งแต่การที่เขาให้คิมอูบินรับบทการ์ดที่เป็นหุ่นต่างดาวหน้าตาเหมือนอัลตรอนในหนังมาร์เวล แต่ก็กลายร่างให้มีหน้าตาเหมือนมนุษย์ได้ ไม่พอการ์ดตัวนี้ยังมาพร้อมกับธันเดอร์หุ่นอีกตัวที่เป็นมันได้ทุกอย่าง ทั้งรถยนต์ ทั้งแปลงเป็นมนุษย์หน้าตาเหมือนกับคิมอูบินอีก นัยว่า พล็อตหนังตั้งใจจะกาวกันเต็มที่ นั่นก็แค่จุดแรกนะ

ต่อมาก็คือ หลังการ์ดสังหารนักโทษตนนั้นไปแล้ว ก็เกิดอุตริพาทารกลูกสาวของมนุษย์ร่างโฮสต์มาชุบเลี้ยงด้วย กลายเป็นหนังที่เล่าเรื่องมนุษย์สาวที่ถูกเลี้ยงโดยหุ่นเอเลี่ยนไปซะอีก

พล็อตที่ดูขัดแย้ง เรื่องราวที่โคตรซับซ้อน แต่ดันรวมอยู่ด้วยกันได้…ซะงั้น!

ไอเดียการเอาเอเลี่ยนมากักขังไว้ในร่างมนุษย์ก็ดูจะไม่เหมือนใครดี ด้วยคุณธรรมหรืออะไรไม่รู้ของพวกเอเลี่ยนที่ไม่อยากประหารชีวิตนักโทษด้วยตนเอง จึงเลือกจะใช้วิธีนี้ รอให้ร่างโฮสต์มนุษย์นั้นตาย เอเลี่ยนที่สิงอยู่ก็จะตายไปด้วย กล่าวถึงไม่อยากฆ่าเองแต่จะอยากให้ตาย เลยต้องหาวิธีที่ยุ่งยากมาแทน ทีนี้ ก็จะมีเอเลี่ยนบางตัวที่รู้วิธีแยกตัวเองออกมาจากร่างโฮสต์ (ซึ่งก็จะถูกเรียกว่า แหกคุก) ทำให้การ์ดต้องจับพวกมันมาขังไว้ แต่ทุกครั้งมาไม่เคยมีปัญหา ทว่าครั้งนี้การ์ดและธันเดอร์ดันเอาทารกมนุษย์มาเลี้ยงดูนี่สิ แถมยังข้ามเวลาเอาเด็กยุคโครยอมายังเกาหลียุคปัจจุบันเสียด้วยอีก

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาหลียุคโครยอ เวลานั้นก็กำลังเกิดปัญหาขึ้นเช่นกัน มีคนหลายคนที่เฝ้าพากเพียรค้นหาดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วยหวังครอบครองเพื่อกระทำการอะไรสักอย่าง อย่างเช่นนักพรตนามมูรึกที่ชอบอวดอ้างว่าสามารถจับหมอกได้ เขามีพัดประจำกายเล่มหนึ่งที่ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เขามีสมุนเป็นแมวสองตัว ซ้าย (Shin Jung Keun) กับขวา (Lee Si Hoon) แต่บางทีเขาก็กลายเป็นนักล่าค่าหัวไป…ซะงั้น แถมรางวัลที่ได้ก็ยังเป็นลำสี 50 ม้วน จนนั่งสงสัยว่ามันเอาไปทำอะไรกันนะสำลีเนี่ย

วันนึง ถึงทีเขาต้องไล่ล่าหาดาบศักดิ์สิทธิ์ โชคชะตาก็พาเขาไปพบกับตัวละครอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอึหมา (Kim Ki Cheon) ที่เขาเคยพามันเข้าคุก กับฆาตกรไร้ชื่อ (Ji Gun Woo) ชายผู้สวมชุดประหลาดไม่เข้ากับยุค

แล้วหนังกลับไปเล่าในช่วงเวลาปัจจุบันใหม่ คราวนี้ทารกหญิงคนนั้นเติบโตเป็นเด็กผู้หญิงแล้ว แถมฉลาดเสียด้วย เธอชื่ออีอัน (ชเวยูรี/Choi Yoo Ri) ที่ล่วงรู้ว่าพ่อไซบอร์กของเธอไม่ใช่พ่อที่แท้จริง แถมยังทำการทดลองกับสมองของเธออีกต่างหาก เพราะความฉลาดนี่แหละที่ทำให้อีอันรู้ว่าวันต่อมาจะมีการส่งนักโทษล็อตใหม่มายังโลก ทำให้เธอกลายพยานมนุษย์หนึ่งเดียวที่รู้เห็นพฤติการณ์ของเอเลี่ยน

ศึกจอมยุทธ์ปะทะเอเลี่ยนใกล้จะเริ่มต้นแล้ว แต่ตัวละครก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด ผู้ชมได้พบกับสองคาแรกเตอร์ใหม่ ผู้วิเศษแห่งยอดเขาคู่ เมฆสีครามจองอุน (Jo Woo Jin) และหิมะสีนิลฮึกซอล (Yum Jung Ah) ที่เป็นนักประดิษฐ์ของวิเศษมาเสนอขายต่อจาจัง (คิมอึยซอง/Kim Eui Sung) เจ้าอาวาสแห่งวิหารลับ ผู้ใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าและมาพร้อมกับข่าวลือเรื่องสัตว์ประหลาด

แล้วก็มาถึงตัวละครที่ทุกคนรอคอย เมื่อเวลาผ่าานไป อีอัน (คิมแตรี/Kim Tae Ri) เติบโตเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้ถือปืนสั้น ในที่สุด เธอได้เจอกับนักพรตมูรึกจนได้ พวกเขาพบกันในงานแต่งงานที่มีดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นของขวัญ ศึกยื้อแย่งของวิเศษชิ้นนี้จึงได้ปะทุขึ้น

กลับมายังโลกปัจจุบันกันบ้าง หลังเอเลี่ยนเยือนโลกพร้อมฝังนักโทษลงในร่างมนุษย์ สายสืบมุนโดซอก (โซจีซบ/So Ji Sub จากหนังเรื่อง ‘Be with You’, ‘The Battleship Island’ และซีรีส์เรื่อง ‘The Master’s Sun’) ก็คือหนึ่งในนั้น แต่บังเอิญว่าเอเลี่ยนที่อยู่ในร่างของเขาเป็นผู้บัญชาการที่ก่อกบฏทำลายล้างโลก พร้อมกับที่มียานลำหนึ่งกำลังทะยานมายังโลกเพื่อปลดปล่อยเขา แล้วเราก็ได้รู้ว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้มันมีพลังไว้ทำอะไรได้บ้าง แหม่ พลังมันหลากหลายเหลือเกินเนอะ

อาจดูเหมือนบทรีวิวนี้จะเป็นการเปิดเผยเรื่องราวภายในเรื่อง แต่ก็นั่นแหละ ต้องเข้าใจว่าตัวละครมันเยอะ เรื่องราวมันซับซ้อน ทำให้นายแพทต้องดูถึงสองรอบเพื่อจะเก็บข้อมูลที่ตกหล่นไปเยอะ

ไซไฟโครยอ ที่ยังมีต่อในภาคที่สอง

ด้วยความที่หนังมันแทบไม่เคยหยุดนิ่ง ตัวละครยุ่บยั่บจำหน้าแทบไม่หวาดไม่ไหว เนื้อเรื่องยิบย่อยพัวพันพามึนหัว แต่ก็เดินเรื่องสนุกไม่น่าเบื่อ ไอเดียดูบ้าบอดีที่หยิบเอาเกาหลีสองยุคมารวมไว้ในเรื่องเดียวกัน ใส่มาทั้งความเป็นหนังไซไฟเอเลี่ยน บวกแฟนตาซีพลังวิเศษ บวกเข้ากับพล็อตหนังย้อนเวลาทะลุมิติ จับไอเดียจากหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้มาใส่จนกลายเป็นหนังที่มีทุกอย่าง มาพร้อมกับคาแรกเตอร์ชวนฮามากมาย เคล้าคนส่วนผสมที่ดูไม่น่าจะเข้ากันให้มาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ แถมดูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะชวนมึนไปบ้าง แต่ก็นับว่าดูได้อย่างเพลิดเพลิน ถึงมันจะยาวยืดถึง 2 ชั่วโมง 22 นาทีก็ตาม

ด้านซีจีก็ถือได้ว่าแจ่มแมวอยู่ หนังเรื่องนี้ใส่ซีจีลงมาไว้อย่างเพียบ รวมไปถึงดีไซน์ของหุ่นยนต์ ยานอวกาศ ด้านนักแสดง ก็เรียกได้ว่างานนี้ขนนักแสดงมาเป็นกองทัพ ตัวเล็กตัวน้อย มีบทไม่มีบทใส่ลงมาอย่างเพียบ ล้วนแต่เป็นคนที่คุ้นเคยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ ระหว่างดูยังรู้สึกอ้างอิงจากหนังหลายต่อหลายเรื่อง จนบางทีก็นั่งขำกัน ตรงนี้มันเหมือนเรื่องนั้นเลยนี่นา ID4, คนเหล็ก, Mission: Impossible และอีกเพียบ แถมบทหนังก็ยังเต็มไปด้วยจังหวะโบ๊ะบ๊ะไม่หยุด คนดูเลยไม่มีช่วงไหนให้รู้สึกน่าเบื่อได้สักวินาที

น่าเสียดายหนังมันยาวไป ไม่อาจจบได้ใน 1 ภาค ต้องรอเขาสร้างภาค 2 มาให้ดูละครับ

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง