รีวิวหนัง The Fall Guy สตันท์แมนคนจริง | โอกาสหนสอง มันต้องระห่ำ

ดูเหมือนอาชีพสตันท์แมน คนที่ต้องแสดงแทนดารา โดยเฉพาะในฉากดาราทำไม่ได้ ฉากอันตราย หรือเสี่ยงตายทั้งหลายแหล่ พวกเขาต้องทำหน้าที่แทนอย่างแข็งขัน แต่ก็ไม่เคยได้รับเครดิตใด ๆ จนวันนี้ มีหนังเรื่องหนึ่งที่หยิบยกอาชีพของพวกเขาให้กลายมาเป็นตัวเอกของเรื่อง ‘The Fall Guy’ หรือชื่อไทย ‘สตันท์แมนคนจริง‘ คือหนังเรื่องนั้นครับ

ความเห็นส่วนตัวของนายแพท

จดหมายรักถึงคนเบื้องหลังทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่าสตันท์แมน ที่เรื่องได้เป็นพระเอกกับเขาสักที เพื่อความรักที่มีให้โจดี้ วันที่เธอได้กำกับหนังเรื่องแรก เขาจึงต้องกลับมา ทำทุกอย่างทั้งเป็นสตันท์ในกองและนอกกอง เพื่อให้หนังของเธอสำเร็จลุล่วงออกมา พล็อตอาจชวนเลี่ยนแต่เล่าได้เข้าถึงหัวใจ พาคนดูอินเอาใจช่วย ลุ้นไปกับภารกิจสืบสวน และระทึกไปกับฉากสตันท์มันสะใจ

ชอบในความเป็นหนังซ้อนหนัง ฉากสตันท์ที่อยู่ในฉากสตันท์ แถมเคมีไรอัน-เอมิลี่ที่โคตรดี เป็นหนังที่ต้องไม่พลาดชมในโรงภาพยนตร์

เรื่องย่อหนัง ‘The Fall Guy’

มันเป็นเรื่องราวธ์ของหนุ่มหล่อเท่ที่มีอาชีพเป็นสตันท์แมนอย่าง โคลต์ ซีฟเวอร์ (Ryan Gosling จากหนังเรื่อง ‘Blue Valentine’ และ ‘Barbie’) เขามีอาชีพที่โคตรเสี่ยงตาย ทั้งโดนระเบิด โดนยิง โดนชน โดนเหวี่ยงตัวทะลุหน้าต่าง ตกจากที่สูง และโดนเผา แต่นั่นก็เป็นความชื่นชอบและแพสชันส่วนตัว แม้ว่าจะไม่เคยมีใครรู้จักหรือให้เครดิตกับพวกเขา

แต่ยังไง สตันท์แมนก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เขาหลงรักและคบหากับตากล้องสาวมือดี โจดี้ โมเรโน่ (Emily Blunt จากหนังเรื่อง ‘The Adjustment Bureau’ และ ‘Edge of Tomorrow’) มาพักหนึ่ง หลังอุบัติเหตุที่มันเกือบจะปิดฉากอาชีพ ทั้งคู่ก็ห่างหายกันไปพักใหญ่

แล้ววันหนึ่ง เขาก็ได้รับการติดต่อให้มาร่วมงานเข้าฉากเป็นสตันท์แมนในกองถ่ายหนังที่มีโจดี้เป็นผู้กำกับ แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะได้รับภารกิจเพิ่มเติม เมื่อเกล (Hannah Waddingham จากซีรีส์ ‘Ted Lasso’ และ ‘Sex Education’) ผู้จัดการส่วนตัวของดาราดัง ขอให้เขาช่วยตามหา ทอม ไรเดอร์ (Aaron Taylor-Johnson จากหนังเรื่อง ‘Nocturnal Animals’ และ ‘Kick-Ass’) ที่หายตัวไป งานนี้ เขาต้องทั้งไขคดีสมคบคิดและต้องเอาชนะใจคนที่เขายังรักอีกครั้งให้ได้

รีวิวหนัง ‘สตันท์แมนคนจริง’

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องมันน่าสนใจขึ้นมา นอกเหนือจากชื่อเสียงหน้าตาและลีลาการแสดงของดารานำแล้ว นั่นคือ มันเป็นหนังที่กำกับโดยสตันท์แมนตัวจริงเสียงจริง อย่าง เดวิด ลิตช์ นั่นแหละ เขาเป็นเจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง ‘Deadpool 2’, ‘Fast & Furious Presents: Hobb & Shaw’ และ ‘Bullet Train’ แถมยังเคยอำนวยการสร้างหนังดังอย่าง ‘John Wick’ และ ‘Nobody’

ทำให้หนังอย่าง ‘The Fall Guy’ เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานที่มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดของเขา มันเป็นหนังที่บอกเล่าชีวิตทั้งด้านการงานและชีวิตส่วนตัวของตัวเอกที่เป็นสตันท์แมน อาชีพที่เหมือนถูกซ่อนอยู่ในเงา ไม่มีใครมองเห็น ทั้ง ๆ ผลงานอันสุดยอดสะเด็ดสะเด่าในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องล้วนมาจากพวกเขา มันจึงกลายเป็นเหมือนจดหมายรักถึงคนในอาชีพสตันท์แมนทุกคน ที่วันนี้ได้มีโอกาสรับบทเด่นในหนัง นอกจากนี้ มันยังเป็นจดหมายรักแด่ภาพยนตร์แอ็คชันและบรรดาทีมงานเบื้องหลังที่ถูกมองข้ามอีกด้วยนะ

มันมีส่วนผสมที่เข้ากันและลงตัวดี ระหว่างความเป็นหนังแอ็คชันที่ขายทั้งฉากสตันท์เน้นถ่ายทำจริง เอฟเฟกต์จริง (แม้อาจจะเอาไปเพิ่มซีจีนิดหน่อยก็ตาม) อีกส่วนมันเป็นหนังโรแมนติกของคู่รักที่เหินห่างด้วยเหตุบางอย่างก่อนชะตาชักพาให้กลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง

โคลต์ ซีฟเวอร์ สตันท์แมนที่เคยคบกับโจดี้ตากล้องสาว เขาประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บในการถ่ายทำ ห่างหายจากทั้งคนรักและงาน ก่อนจะได้รับโอกาสอีกครั้งเพื่อมารับหน้าที่สตันท์ทางดาราดังอีกครั้งในหนังของโจดี้ ด้วยความรักที่ท่วมท้นมีหรือจะไม่กลับมา ความตั้งใจอยากให้หนังของโจดี้ถ่ายได้ลุล่วง แม้จะต้องทำภารกิจนอกเหนืองานก็ยอมทำ เขาจำต้องไปไขคดีเหตุที่ดาราดัง ทอม ไรเดอร์ หายตัวไป ก่อนจะได้พบว่าเกี่ยวพันทั้งเรื่อง ยาเสพติด คนร้าย และฆาตกรรม แต่เพื่อโจดี้ เขายินดีจะเสี่ยง ฟังดูมันก็ดูเลี่ยน แต่ก็นะ บทก็พาเราซึ้งน้ำตาซึมไปได้ก็แล้วกัน

ด้านหนึ่ง มันคือหนังแอ็คชันที่ตัวเอกเป็นสตันท์แมน หนังจึงพาผู้ชมไปพบกับฉากสตันท์ต่าง ๆ ก่อนที่สตันท์คนเดิมจะเจอกับฉากจริง ๆ ที่เขาต้องแสดงด้วยตัวเอง เสี่ยงตายจริงไม่มีอุปกรณ์เซฟตี้ใด ๆ ตัวเอกเต็มใจทำด้วยแรงจูงใจคือทำเพื่อคนรัก หนังจึงเอาหัวใจออกมาดึงดูดผู้คนอย่างเต็ม ๆ ตัวเอกที่ใจขนาดนี้ จะไม่ให้รักและเอาใจช่วยยังไงไหวล่ะท่าน เพราะฉะนั้นอีกด้าน มันคือหนังโรแมนติกพล็อตที่คุ้นชิน เมื่อได้โอกาสอีกครั้งที่ทำให้ได้เธอกลับมา เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สมหวัง

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง มันก็เป็นคอมเมดี้ที่พาฮารั่ว ทั้งหยิบเอาหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาล้อเลียน พาคนทำขำกลิ้งไม่หยุดหย่อน

อีกสิ่งที่ทำให้หนังมันออกมากลมกล่อมได้ใจคนดู ก็คือเคมีที่เข้ากันดีระหว่างคู่พระนาง ซึ่งตรงนี้ ไรอัน กอสลิง และ เอมิลี่ บลันท์ ทำได้ยอดเยี่ยมเกินคาด เมื่อมาเจอกับเพลงประกอบที่เหมือนบรรจงเลือกมาอย่างดี ถูกบอกเล่าไปพร้อมภาพ มีซับไตเติลประกอบเข้าไปอีก กลายเป็นว่านี่คือประสบการณ์หนังที่นำพาอรรถรสทุกด้านสู่ผู้ชมอย่างเข้าถึงมากอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

นอกจากความเป็นหนังซ้อนหนัง ฉากสตันท์อยู่ในฉากสตันท์แล้ว หนังก็ยังหยิบบางแง่มุมของตัวละครที่ต้องพบเจอกับกองถ่ายทำหนังมาใส่ สตันท์แมนที่ต้องเจออุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำจนชีวิตต้องขาดรายได้ ชีวิตของการเป็นผู้กำกับ ผู้จัดการดารา คนเบื้องหลังในกองถ่ายทำ รวมทั้งยังเจาะไปถึงระบบการสร้างหนัง หนังมันอาจจะมีล้นเกินบ้าง อะไรบ้าง ก็ให้ปล่อยจอยไป เช่น บางทีก็อาจสงสัยว่า ตกลง นางเอกของเรื่อง เธอเป็นตากล้อง ผู้กำกับ หรือเป็นสาวนักบู๊กันแน่ เล่นเอาซะอีกฝ่ายน่วมไปเลย

แต่ใด ๆ คงไม่อาจปฏิเสธว่า ฉากแอ็คชันของหนังเรื่องนี้ พาระทึกตื่นตาได้อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงท้าย ๆ ของหนังนี่เรียกว่าอัดฉากสตันท์มายาว ๆ ดูจบทุกคนต่างปรบมือให้เลย

อ้อ อีกอย่างที่สำคัญ หนังที่อีกฉากระหว่างเครดิตด้วยนะครับ อย่าลืม!

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง