และแล้ว เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงซะที กับบทสุดท้ายแห่งการต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างฝ่ายนักล่าและฝ่ายอสูร เรื่องราวที่งวดเข้ามาทุกที เมื่อเหล่านักล่าถูกต้อนเข้าสู่ปราสาทที่ไร้ซึ่งขอบเขต มันถูกบอกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์ไตรภาค ที่แบ่งออกเป็น 3 องก์ และนี่คือองก์แรก ‘Demon Slayer -Kimetsu no Yaiba- The Movie: Infinity Castle‘ หรือชื่อไทยแบบยาวๆ ว่า… ‘ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต องก์ที่ 1 การกลับมาของอาคาสะ’
คิดเห็นเช่นไรกับหนังดาบพิฆาตอสูรภาคนี้?
ภาคแรกของไตรภาคปราสาทไร้ขอบเขตที่เริ่มต้นกันก็จับคู่บู๊ใส่กันทันที งานภาพของปราสาทที่เป็น 3 มิติชวนตื่นตาดี ขณะที่ช่วงต่อสู้ก็ทำได้ตื่นใจ หลายช็อตเหมือนเป็นงานศิลปะภาพเคลื่อนไหว สวยตะลึงตามาก ขณะที่ดนตรีประกอบก็มีทั้งร็อกเร่งเร้าและบรรเลงพริ้วไหว ยิ่งดูบนจอ IMAX เสียงยิ่งใสชัดและเคลียร์ หนังเล่าฉากต่อสู้สุดมัน สลับกับดราม่าเล่าเรื่องเบื้องหลังที่ทำให้รู้จักตัวละครและเห็นที่มาที่ไป แค่บางที่ก็ตัดอารมณ์กันบ่อยเกินไป อะไรแบบนั้น
แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นภาคเริ่มต้นที่เปิดออกมาได้ดีพอตัว แรงพอจะทำให้คนตั้งตารอคอยอีก 2 ภาคที่เหลืออย่างแน่นอน
เรื่องย่อหนัง ‘Demon Slayer The Movie: Infinity Castle’
หลังนายเหนือหัวผู้หยั่งรู้อนาคตพบว่าอีกไม่ช้า คิบุตสึจิ มุซัน ราชันแห่งเหล่าอสูรทั้งมวลจะต้องมาหาและก่อศึกครั้งใหญ่ จึงได้สั่งให้เหล่าเสาหลักทั้งหลายจัดการสั่งสอนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของเหล่านักล่าอสูรโดยด่วน พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ นายเหนือหัวใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้มุซันดุ่ม ๆ มาหาถึงคฤหาสน์ และนายเหนือหัวก็พลีชีพระเบิดทั้งคฤหาสน์เป็นจุณ
ความจริงคือ นายเหนือหัวรู้ตัวว่ามีชีวิตเหลืออยู่ไม่นาน จึงตกลงฝากฝังให้เสาหลักหินผาเข้ามาจัดการฆ่ามุซันให้ตาย แต่เมื่อเหล่าเสาหลักและทันจิโร่วิ่งตามมาถึง ทั้งหมดก็ถูกมุซันดึงเข้าสู่ประสาทไร้ขอบเขตเป็นที่เรียบร้อย
และเรื่องราวก็เดินมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วล่ะครับ
รีวิวหนัง ‘ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต’
แอนิเมชันจากญี่ปุ่นสุดโด่งดังที่เดินทางมาด้วยการเป็นซีรีส์ที่มีการตัดต่อบางส่วนเพื่อฉายในโรงหนังมาโดยตลอด บัดนี้ เรื่องราวงวดเข้ามามากแล้ว ช่วงสุดท้ายของมันจะกลายเป็นหนังไตรภาค และนี่จะเป็นภาคแรกของมัน
สืบเนื่องมาจาก ‘ภาคการสั่งสอนเสาหลัก’ สมรภูมิที่เหล่านักล่าอสูรเข้าไปอยู่คือพื้นที่ของศัตรู ปราสาทไร้ขอบเขตที่มุซันสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะ หลังต่อสู้กันมานานนับพันปี คงหมายใจจะกำจัดเสาหลักให้หมดในคราวเดียว ปราสาทแห่งนี้แสนจะกว้างใหญ่จนไม่อาจล่วงรู้ขอบเขต ทั้งภายในยังเต็มไปด้วยอาคารน้อยใหญ่ที่ขยับเคลื่อนได้อย่างอิสระต่อกันจนคาดเดายาก หากไม่ระวังก็อาจร่วงหล่นกระแทกพื้นตาย ไม่แค่นั้น ยังมีเหล่าอสูรต่ำชั้นที่แอบซุ่มทำร้ายอยู่มากมาย ขณะที่อสูรข้างขึ้นก็โผล่มาเพื่อกำจัดเสาหลักโดยเฉพาะ
ภาคนี้ อาจไม่ต้องการคำบอกเล่าอะไรมากมายแล้ว มาถึงก็ต่อสู้กันในทันที เสาหลักแต่ละคนต่างก็มีคู่ปรับเป็นของตนเอง และที่ชัดเจนอย่างที่สุดก็คงเป็นคู่ของอาคาสะที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง และต้องต่อกรกับกิยูและทันจิโร่ ซึ่งหนังจะให้ช่วงเวลากับพวกเขามากอยู่สักหน่อย
คงต้องบอกว่า ภาคนี้ งานดีอยู่ที่งานภาพครับ ฉากต่อสู้ทั้งหลายทำกันออกมาได้น่าตื่นเต้นและตื่นตะลึง และหลายช็อตที่ดูคล้ายเอางานศิลปะมาจัดวางอยู่ในระหว่างช่วงต่อสู้ ใส่เทคนิคที่แตกต่างกันไปไม่ยอมให้ซ้ำกัน เอาแค่ว่า ดูงานภาพก็เพลินแล้วสำหรับภาคนี้
ผสานกันไปกับดนตรีประกอบที่มีทั้งดุดันและพริ้วไหวตามแต่อารมณ์ของหนัง ซึ่งมันก็เหมาะมากกับการรับชมบนจอยักษ์ IMAX เพราะโรงนี้ นอกจากจะฉายบนจอใหญ่เต็มตาแล้ว เสียงดนตรีประกอบชัดเคลียร์จนทำให้เต็มอรรถรสในการติดตามอย่างมาก
Taglines: The All-Out War Begins
พูดถึงด้านดีกันไปแล้ว ก็ต้องมาพูดถึงด้านที่ขัดใจบ้าง ผ่านมาถึงตรงนี้ แม้จะพอเห็นว่าบทของอะนิเมะเรื่องนี้ มักเล่าถึงภารกิจไปก็จะสลับกับการเล่าเรื่องในอดีตไป อันจะทำให้มองเห็นตัวละครหนึ่ง ๆ ในหลายแง่มุม ทำให้คนดูเข้าใจที่มาที่ไปของการเป็นเขาในวันนี้มากขึ้น จากที่อาจรู้สึกเกลียดอยู่ในใจ ก็กลายเป็นเกลียดไม่ลง
แต่สำหรับเวอร์ชันหนังของภาคนี้ จะมีฉากต่อสู้กันแทบจะเป็นหลัก แต่บทก็สลับไปดราม่าเล่าเรื่องเบื้องหลังชนิดตัดอารมณ์กันไปเลย มันทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้นก็จริง แต่บางทีก็ใช้เวลาไปกับมันมากเกินไปนิด
Source|Sony Pictures Thailand
อย่างที่รู้กัน ชื่อของภาคนี้องก์นี้มันก็บ่งบอกอยู่ว่าจะเน้นเล่าเรื่องของใคร แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนดูจะมองไม่เห็นบทบาทของมุซัน เพียงแต่ระหว่างดูไปก็อาจสงสัยว่า ปล่อยให้ลูกน้องออกโรงแบบนี้แล้วตัวเองไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันนะ นั่นแหละ การเกลี่ยบทมันอาจจะลำบากไป เสาหลักบางตัวแทบจะไม่ได้ซีนเลยด้วยซ้ำ วิ่งไปวิ่งมาจนจะจบเรื่องก็ยังไม่ได้สู้เป็นชิ้นเป็นอันสักที คือต้องไปตามต่อในหนังภาคถัดไปแหละพี่จ๋า
แต่ไม่ว่ายังไง โดยรวมมันก็ยังถือว่าจุใจได้อยู่ดี บางคนอาจอินถึงขั้นน้ำตาไหล แต่ผมได้แค่เศร้าซึมนิดหน่อย หนังจบก็ได้แต่รอคอยภาคใหม่มา
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
| ชื่อภาพยนตร์ | ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต องก์ที่ 1 การกลับมาของอาคาสะ / Demon Slayer -Kimetsu no Yaiba- The Movie: Infinity Castle Part I |
| กำกับ | Hikaru Kondô, Haruo Sotozaki |
| เขียนบท | Hikaru Kondô |
| แสดงนำ | Natsuki Hanae, Saori Hayami, Hiro Shimono, Akari Kito, Yoshitsugu Matsuoka, Takahiro Sakurai, Aoi Yuki |
| แนว/ประเภท | แอนิเมชัน, แอ็คชัน, ผจญภัย, แฟนตาซี, ระทึกขวัญ |
| เรท | |
| ความยาว | 155 นาที |
| ปี | 2025 |
| สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
| เข้าฉายในไทย | 12 สิงหาคม 2025 |
| ผลิต/จัดจำหน่าย | Aniplex, Crunchyroll, Shueisha, Sony Pictures Releasing, Toho Pictures, Ufotable |
คะแนนรีวิวหนัง ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต
พล็อตและบท - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7
การพากย์ - 7.8
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.2
งานภาพ - 8.8
7.9
Demon Slayer -Kimetsu no Yaiba- The Movie: Infinity Castle Part I
ภาคแรกของไตรภาคปราสาทไร้ขอบเขตที่เริ่มต้นกันก็จับคู่บู๊ใส่กันทันที งานภาพของปราสาทที่เป็น 3 มิติชวนตื่นตาดี ขณะที่ช่วงต่อสู้ก็ทำได้ตื่นใจ หลายช็อตเหมือนเป็นงานศิลปะภาพเคลื่อนไหว สวยตะลึงตามาก ขณะที่ดนตรีประกอบก็มีทั้งร็อกเร่งเร้าและบรรเลงพริ้วไหว ยิ่งดูบนจอ IMAX เสียงยิ่งใสชัดและเคลียร์ หนังเล่าฉากต่อสู้สุดมัน สลับกับดราม่าเล่าเรื่องเบื้องหลังที่ทำให้รู้จักตัวละครและเห็นที่มาที่ไป แค่บางที่ก็ตัดอารมณ์กันบ่อยเกินไป อะไรแบบนั้น แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นภาคเริ่มต้นที่เปิดออกมาได้ดีพอตัว แรงพอจะทำให้คนตั้งตารอคอยอีก 2 ภาคที่เหลืออย่างแน่นอน
