เที่ยวอัมพวา ตอนที่ 4 | บ๊ายบาย อัมพวา

เหมือนจะจบทริปไปแล้วใช่มั้ยครับ? ยังครับ พอดีว่า ยังปรับตัวกับอะไรใหม่ๆ ไม่ได้ ก็เลยทำให้หายหน้าหายตาไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น วันนี้ พยายามดึงตัวเองกลับมา คิดว่า ยังไงก็ต้องเขียนให้จบ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายอาทิตย์แล้วก็ตาม ก็ต้องขุดขึ้นมาเขียนให้ได้

เอาเป็นว่า เรามาเที่ยวอัมพวากันต่อนะครับ

27 ธ.ค. 52 เวลา 08.06 น.

หมูกะหมา 2 ตัวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นของเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส ที่นี่เงียบดีกว่ากรุงเทพฯ เป็นไหนๆ เราตื่นมาพบกับอัมพวาในช่วงแดดอ่อนๆ เพิ่งส่องลงมาทาบทาหลังคาของชาวบ้านสองฝั่ง จริงๆ เราควรจะลุกมาตั้งนานแล้ว แต่ความขี้เกียจฉุดให้เรายังคงนอนแช่อยู่เช่นนั้น ได้ยินเสียงของถ้วยกาแฟและจานที่กระทบกัน ซึ่งทำให้เรารู้ว่า ปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้มาถึงแล้ว

บ๊ายบาย อัมพวา

ยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาเลย เราเป็นห้องแรกที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นสามของ “สวรรค์โอสถ” นั่งมองชีวิตที่เป็นไปอย่างเชื่องช้าของที่นั่น มีเพียงไม่กี่สิ่งที่เคลื่อนไหว เรือยนต์ยังคงจอดนิ่งเหนือน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลง แต่ก็เริ่มมีบางลำที่เคลื่อนไปตามลำน้ำบ้างแล้ว

เราทั้งสองคนกินน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋จนหมด มองไปเห็นอีกหลายชุดวางเรียงรายแล้วอยากแอบกินซะเหลือเกิน มองลงไปเบื้องล่าง เห็นเรือก๋วยเตี๋ยวที่มาจอดขาย ปกติจุดนั้นจะเป็นจุดที่ผู้คนพลุกพล่าน และมานั่งรอนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือกันหนาแน่น แต่วันนี้ เราขอลองสักหน่อยในช่วงเวลาที่คนน้อยๆ นี่แหละ

น้ำท่าไม่ต้องอาบ ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินลงไปเบื้องล่าง ข้ามสะพานไปกินมันเลย ‘ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใสลุงจี๊ด’ ชามละ 15 บาทเท่านั้น นั่งกินกันริมท่าเพียงสองคน เป็นลูกค้ารายสุดท้ายโดยไม่ต้องมาแย่งที่กินกับใคร กินเสร็จคืนชามจ่ายตังค์ ก่อนที่ลุงจะกลับไปดูสวนต่อ (ลุงแกบอกเช่นนั้น)

บ๊ายบาย อัมพวา

วันนี้ วันสุดท้ายแล้วสินะที่เราจะได้อยู่ที่นี่ บรรยากาศที่ดูเหมือนถูกหยุดไว้เพื่อวันเก่าๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความใหม่เสียเลย จริงๆ ก็คือ ทำให้ดูเก่าเท่านั้นแหละ

เอาล่ะ วันนี้ เราจะเดินดูของกันอีกหน เพราะอารมณ์มันอยากได้เสื้ออีกสักตัว ไม่ให้น้อยหน้าหมูน้อย…

อัมพวายามนี้ ผู้คนบางตา ผิดกับเมื่อวานมากมาย ร้านรวงต่างๆ ยังเปิดกันไม่ครบครัน แต่ก็ถือเป็นอีกบรรยากาศที่คนไม่มาพักค้างคืน หรือไม่มาเยือนอัมพวายามสายไม่มีโอกาสได้เห็น

อัมพวา

เดินกันทั่วทั้งสองฝั่งของคลองอัมพวา ในที่สุด ภารกิจแรกก็สำเร็จลง หาเสื้ออีกตัวได้จากร้าน ‘อิฎฐ์’ ส่วนอีกภารกิจ เปลี่ยนขนาดเสื้อหิ่งห้อยที่เล็กไปได้แล้ว ก็ได้เวลาไปเก็บข้าวของ

ชักไม่รู้จะเล่าอะไร เดินไปเดินมาที่อัมพวา จนเหงื่อเริ่มชุ่ม เอาเป็นว่า ดูรูปกันไปพลางๆ ก็แล้วกัน

ริมระเบียง โฮมสเตย์ยอดนิยมอีกแห่ง
จักรยานยนต์โบราณคันนี้ มันยังใช้วิ่งได้อยู่เปล่านะ
ใครกันสัปดน เอาเทียนมาปักที่ปากหนูเนี่ย

เวลา 11.58 น.

หลังอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย ก็เก็บของเช็คเอาต์ออกจาก ‘สวรรค์โอสถ’ ได้เวลาสุดท้ายของสองเรา ณ อัมพวา แล้วสินะ หาอะไรทานแก้หิวกันดีกว่า เดินมาหยุดพักที่ร้าน ‘ชานชาลา’ ร้านที่ตกแต่งในบรรยากาศของชานชาลา ก็ตรงที่มีเก้าอี้นั่งรอรถไฟแบบที่เราคุ้นตาในสถานีรถไฟสมัยก่อนๆ นั่นไง (สมัยนี้มันยังมีมั้ยนะ ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยรถไฟซะแล้วน่ะสิ)

ชานชาลา

ร้านนี้ แม้จะมีไม่ได้อาหารขายเต็มตัว แต่ก็สามารถสั่งมาจากเรือหรือร้านริมคลองเข้ามาทานได้ตามสะดวก ก๋วยเตี๋ยวรสชาติอร่อยลงท้องแล้วยังไม่รู้สึกอิ่ม จึงต่อด้วยไอศกรีมและน้ำหวานรสผลไม้จากขอร้านมาเติมให้เต็ม

แล้วเราก็ได้เวลาต้องไปแล้วล่ะ เดินกันอีกเล็กน้อย แต่อากาศที่ร้อนก็ทำให้เหงื่อโทรมกาย จนไม่มีอารมณ์จะไปต่อ แม้จะได้รับคำแนะนำว่า ควรจะไปเยือนตลาดน้ำบางน้อย และตลาดเก่าที่บางนกแขวกที่ไม่ไกลออกไปนัก แต่ความร้อนและเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะ ก็ทำให้เราเลือกจะล้มเลิก และตัดสินใจเดินไปขึ้นรถสองแถวกลับไปยังตัวเมืองเพื่อขึ้นรถตู้กลับ

เป็นอันว่า ทริปสั้นๆ ใกล้ๆ ของเราสองคนก็จบลงด้วยความอิ่มเอม แม้ว่าอัมพวาจะกลายเป็นสถานที่ที่ใครๆ ก็รู้จัก และต่างก็พากันมาเที่ยวจนเกินกว่าพื้นที่จะรองรับได้ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่อย่างน้อย เราก็ได้มาเยือนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กับตัวเองกันสองคน

ทริปหน้าจะไปไหนกันดีนะ…หมูน้อย

Exit mobile version