รีวิวหนัง One Battle After Another หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า | ดุดัน ได้ใจ
หนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์พ่อ-ลูกนั้นมีมามากมาย แต่เรื่องนี้ใส่บรรยากาศอันขึ้งเครียดของความขัดแย้งทางการเมือง ใส่ความคิดเรื่องเชื้อชาติเข้ามา บวกความดุดันของงานภาพและการดำเนินเรื่องแนวแอ็คชัน ทำให้มันกลายเป็นหนังสุดบ้าระห่ำ ‘One Battle After Another’ หรือชื่อไทย ‘หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า‘ สมใจแล้วที่ได้ดูหนังของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน เรื่องนี้
คิดเห็นเช่นไรกับหนังเรื่องนี้?
แม้ตอนเริ่มต้น มันจะเป็นเรื่องของแก๊งขบถที่ป่วนเมืองตามแนวคิดของตน แต่ถัดมา มันเป็นเรื่องของพ่อที่เหลือแต่ลูกสาวหลังการหลบหนีไปไกล แต่เมื่อถูกตามล่าอีกครั้ง พ่อจึงต้องทำทุกทางเพื่อช่วยลูกให้ได้ หนังไม่ได้เอาแต่โหมดจริงจังแต่อย่างเดียว ขณะที่เดินเรื่องในโหมดแอ็คชัน บวกใส่โหมดคอมเมดี้เข้ามาด้วย เลยได้ทั้งขำ ทั้งลุ้นมันเป็นบ้ากับภารกิจช่วยลูกของตาบ๊อบ
งานภาพและเพลงประกอบของหนังนับว่าแจ่มแมว โดยเฉพาะซีเควนซ์ไล่ลาบนถนนเนินเขา ลุ้นระทึกและสนุกมากเลย
เรื่องย่อหนัง ‘One Battle After Another’
ในวันเก่า กลุ่มขบถศาลเตี้ยที่ชื่อเฟรนช์ 75 เคยก่อเหตุหลายครั้งหลายหน ในกลุ่มนี้มีบ็อบ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ จากหนังเรื่อง ‘Killers of the Flower Moon’) ที่คบหาเป็นกับเพอร์ฟีเดีย (เทยานา เทย์เลอร์ จากหนังเรื่อง ‘White Men Can’t Jump’) แฟนสาวผิวดำหนึ่งในสมาชิก แต่ปฏิบัติของพวกเขาทำให้ต้องปะทะกับ ผู้หมวดสตีเฟ่น เจ. ล็อกจอว์ (ฌอน เพนน์ จากเรื่อง ‘Licorice Pizza’) โดยตรง และผลงานการกวาดล้างก็ทำให้สตีฟได้เหรียญกล้าหาญ ขณะที่กลุ่มเฟรนช์ 75 ต้องแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และบ็อบต้องหนีไปพร้อมกับลูกสาว
16 ปีถัดมา ชาร์ลีน ลูกสาวของพวกเขาก็เติบโตในชื่อวิลล่า (เชส อินฟินิตี้ จากซีรีส์ ‘Presumed Innocent’) ขณะที่สตีฟก็กลับมาตามล่าเพื่อกุดหัวสองพ่อลูกอีกครั้ง
จู่ ๆ วิลล่าถูกใครบางคนพาตัวไป ทำให้บ็อบต้องขอความช่วยเหลือจาก เซนเซ (เบนิซิโอ เดล โทโร จากหนังเรื่อง ‘Sicario’) ให้ช่วยพาหลบหนี บ็อบต้องพาตัวเองไปเจอลูกสาวให้ได้ แต่เขาจะทำสำเร็จได้ไหม อันนี้ต้องตามไปดูกัน
รีวิวหนัง ‘หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า’
นี่คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับที่ทำผลงานเยี่ยม ๆ มามากมาย รวมทั้ง ‘Licorice Pizza’ ที่ผมดูแล้วชอบมาก, ‘Punch-Drunk Love’ และ ‘There Will Be Blood’ ทำให้ผมไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับและเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์
ก่อนเข้าไปดูก็เช็คแล้วว่า หนังเรื่องนี้จะมีความยาว 161 นาที ก็น่าคิดว่าเขาจะทำให้มันสนุกตลอดทั้งเรื่องได้มั้ย แต่รายชื่อนักแสดงและผู้กำกับฯ รวมทั้งรายชื่อทีมงาน ผู้กำกับภาพ นักออกแบบงานสร้าง ผู้ตัดต่อ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย นักประพันธ์ เกือบทั้งหมดเคยมีชื่อเข้าชิงรางวัลและบางคนก็คว้ามาครองได้แล้วด้วย การันตีคุณภาพของหนังได้ประมาณหนึ่งเลย นอกจากนี้ ก็ยังได้เห็นว่า บทของหนังเรื่องเขาเขียนบทเองโดยได้รับแรงบันดาลใจจากนิยาย ‘Vineland’ ผลงาน Thomas Pynchon น่าสนใจเหมือนกันว่าจะออกมาได้ดีปานใด
แม้หลักใหญ่ใจความของหนังมันจะว่าด้วยเรื่องพ่อกับลูกสาวที่ต้องเอาตัวรอดจากการถูกตามล่าของทหารนายหนึ่ง แต่หนังก็เริ่มต้นด้วยที่ไปที่มาเพื่อให้คนดูได้รู้จักตัวละครกันก่อนในช่วงเวลาที่ลูกสาวยังไม่เกิด ช่วงที่พ่อแม่ยังทำงานร่วมกันในกลุ่มศาลเตี้ยนามเฟรนช์ 75 กลุ่มขบถที่ก่อการหลายสิ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ทั้งสองมีลูกด้วยกัน คนพ่อก็ต้องการเลิกล้มสิ่งที่ทำอยู่แล้วไปให้ความสนใจกับความเป็นครอบครัวแทน แต่คนแม่ยังคงเดินอยู่ในเส้นทางเดิม และการกวาดล้างของนายทหารคนนั้นก็ทำให้กลุ่มแตก บางส่วนตาย บางส่วนก็หนีรอด
คนพ่อพาลูกหนีได้พ้น ใช้ชื่อใหม่ ตัวตนใหม่ จนเวลาผ่านไปได้ 16 ปี ลูกโตเป็นสาว นายทหารคนเดิมตามล่าอีกหน
เรื่องราวตอนต้นอาจดูมากไปสำหรับผู้ชมบางคน แต่สำหรับนายแพท นี่คือการเล่าที่มาของตัวละครที่ทำให้คนดูมองเห็นภาพชัด คนพ่อคนนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน ลูกสาวเกิดมายังไง นายทหารคนนี้นิสัยสันดานเป็นแบบไหน ก่อนที่การผจญภัยของสองพ่อลูกจะเริ่มต้นขึ้น
แล้วจากนั้นก็เป็นความระทึก มันไม่ใช่การหนีแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นภารกิจของการตามหาและปกป้องลูกสาว ผ่านเรื่องราวที่มีทั้งการประท้วง การอพยพ กลุ่มต่อต้าน และการโต้ตอบของฝ่ายรัฐ แถมยังใส่แนวคิดเรื่องการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติเข้าไปอีก ทำให้แม้เนื้อในจะเป็นหนังของพ่อกับลูกสาว แต่ก็ถูกฉาบไว้ด้วยเรื่องราวการเมืองและความขัดแย้ง
ไม่ว่ายังไงมันก็กลายเป็นหนังยาว 161 นาทีที่ไม่มีส่วนใดน่าเบื่อ ยิ่งช่วงท้ายยิ่งลุ้นระทึก โดยเฉพาะซีเควนซ์ขับรถไล่ล่าบนถนนสายเปลี่ยวที่ขึ้นลงตามเนิน ซึ่งให้มุมภาพที่แปลกตาน่าสนใจมากเลยล่ะครับ
ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นแค่หนังแอ็คชันที่มีแต่การไล่ล่าบีบหัวใจ หรือเป็นหนังที่บอกเล่าชีวิตของพ่อลูกที่ต้องรอดไปด้วยกัน แต่มันยังเป็นหนังมีมุกชวนฮาร่วมเดินไปด้วยตลอดทาง ได้อารมณ์หนังระทึกที่ได้หัวเราะไปพร้อมกับเรื่องซีเรียสจริงจัง แถมยังมีการตัดต่อที่น่าสนใจ บางช่วงเพลงจะดังขึ้นมาพร้อมตัวละครเดียวบนจอ บางทีก็ตัดเพลงหายไปดื้อ ๆ เพื่อเข้าซีนใหม่ แต่ใด ๆ เพลงประกอบที่ล้วนเป็นเพลงเก่านั่นก็แซ่บได้ใจ
เลยทำให้ไม่มีช่วงไหนชวนง่วงได้แม้สักนาที
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
| ชื่อภาพยนตร์ | One Battle After Another / หนึ่งศึก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า |
| กำกับ | Paul Thomas Anderson |
| เขียนบท | Paul Thomas Anderson, Thomas Pynchon |
| แสดงนำ | Leonardo DiCaprio, Sean Penn, Benicio Del Toro, Regina Hall, Teyana Taylor, Chase Infiniti |
| แนว/ประเภท | แอ็คชัน, อาชญากรรม, ดราม่า, ระทึกขวัญ |
| เรท | R |
| ความยาว | 161 นาที |
| ปี | 2025 |
| สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
| เข้าฉายในไทย | 25 กันยายน 2025 |
| ผลิต/จัดจำหน่าย | Ghoulardi Film Company, Warner Bros. |
คะแนนรีวิวหนัง หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า
พล็อตและบท - 9
การแสดง - 9
การดำเนินเรื่อง - 10
งานภาพ และเทคนิคพิเศษ - 10
เพลงและดนตรีประกอบ - 9.5
9.5
One Battle After Another
แม้ตอนเริ่มต้น มันจะเป็นเรื่องของแก๊งขบถที่ป่วนเมืองตามแนวคิดของตน แต่ถัดมา มันเป็นเรื่องของพ่อที่เหลือแต่ลูกสาวหลังการหลบหนีไปไกล แต่เมื่อถูกตามล่าอีกครั้ง พ่อจึงต้องทำทุกทางเพื่อช่วยลูกให้ได้ หนังไม่ได้เอาแต่โหมดจริงจังแต่อย่างเดียว ขณะที่เดินเรื่องในโหมดแอ็คชัน บวกใส่โหมดคอมเมดี้เข้ามาด้วย เลยได้ทั้งขำ ทั้งลุ้นมันเป็นบ้ากับภารกิจช่วยลูกของตาบ๊อบ งานภาพและเพลงประกอบของหนังนับว่าแจ่มแมว โดยเฉพาะซีเควนซ์ไล่ลาบนถนนเนินเขา ลุ้นระทึกและสนุกมากเลย













