ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นและเป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศของงานใหญ่ งานเทศกาลดนตรีที่เต็มรูปแบบและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่าง “Big Mountain Music Festival” ครั้งแรก ที่เคยจัดไปเมื่อต้นปี 2553 ที่ผ่านมา วันนี้ จึงได้รับเชิญไปร่วมรับรู้ภาพเหตุการณ์ที่ถูกตัดต่อรวบรวมเป็น “สารคดีฉายลับ” และได้เป็นกลุ่มคนกลุ่มแรก ที่ได้รับข้อมูลของงานเทศกาลดนตรีครั้งใหม่ ที่จะถูกจัดขึ้นช่วงปลายปีนี้
บ่ายโมงครึ่ง กลุ่มคนกลุ่มนี้ ไปรวมตัวกันที่ห้องออดิทอเรียมของอาคารจีเอ็มเอ็มแกรมมี่เพลส และได้พบกับสารคดีที่ทำให้สมองดึงเอาภาพความทรงจำเมื่อต้นปีกลับมาอีกครั้ง ผสมกับภาพเบื้องหลังการทำงานที่เรายังไม่เคยเห็น ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ก่อนงาน วันงานทั้ง 2 วัน ภาพที่ประมวลมาในเวลากว่าชั่วโมง มีทั้งบทสัมภาษณ์ของคนเบื้องหลัง ศิลปิน พ่อค้าแม่ค้า ผู้เข้าร่วมงาน ภาพบรรยากาศการเตรียมงาน และภาพบรรยากาศของบางโชว์
ได้เห็นความสนุก ความเครียด ความรั่ว ความฮา และความคิดสร้างสรรค์ ที่รวมกันอยู่ในงานเดียว ได้เห็นชื่อตัวเองอยู่ในเครดิตด้วย ชักอยากได้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวจัง
ฉายลับ “มัน ใหญ่ มาก”
จบจากสารคดี ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม ออกมาแนะนำให้เราได้รู้จักกับความฝัน “We have a Dream” แต่เจ๋งยิ่งกว่าคือ เมื่อฝันแล้วเราทำให้มันเป็นจริง จากวันที่เราเคยได้แต่ “อิจฉา” ที่บ้านอื่นเมืองอื่นเขามีเทศกาลดนตรีประจำปีที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ของ Glastonbury Music Festival นั่นไง พื้นที่อันสุดแสนกว้างใหญ่ที่ไม่มีทางที่คุณจะเดินได้ทั่วแน่นอน เพราะจะหมดแรงเสียก่อน เห็นภาพขนาดของงานแล้วท้อเลย “มัน ใหญ่ มาก” ของจริงเลยล่ะ
หรืออย่าง Fuji Rock Music Festival ของญี่ปุ่นขนาดย่อมลงมา แต่พอเห็นผังแล้วก็เออ ก็ใหญ่มากทีเดียว แถมทั้งสองที่ผู้คนใช้วิธีการ “เดิน” เท่านั้น ไปไหนก็เดินเอา ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย อาจจะเฉอะแฉะเละด้วยโคลนเลน ห้องน้ำอาจจะสกปรกและเหม็นเอามากๆ แต่คนที่ไปงานก็ยังสนุกและทนกับเรื่องพวกนี้ได้ หลายๆ ที่มีการจัดการที่ดีมาก อาจจะด้วยพื้นเพของคนที่นั่นเอง ทำให้การจัดการด้านขยะอาศัยเฉพาะแรงขับเคลื่อนของผู้คนที่ไปร่วมงานเท่านั้น
เทศกาลดนตรีแบบนี้เป็นสิ่งที่บ้านเรายังไม่เคยมี แล้วทีมงาน “เกเร” ก็ทำให้มันเกิดขึ้นในประเทศไทย
หลังจากงานครั้งแรกผ่านไปแล้ว ทีมงานพยายามรวบรวมข้อเด่นข้อด้อยเพื่อนำมาปรับปรุง งาน Big Mountain Music Festival (บิกเมาน์เทน มิวสิก เฟสติวัล) ครั้งที่ 2 จะเกิดในช่วง 10-11 ธันวาคม 2553 นี้ ที่เดิม โบนันซ่า เขาใหญ่ ซึ่งผมจะพยายามเล่าให้ได้มากที่สุดจากที่ได้ไปฟังป๋ามานะครับ
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างแรกเลยก็คือ สปอนเซอร์ใหญ่ครับ เปลี่ยนจาก Nokia ในครั้งแรกเป็น Pepsi งานนี้ ก็เลยมีการเปลี่ยนโลโก้ของงานใหม่ แต่ยังใช้วัวตัวเดิม
งานนี้ ยังคงสโลแกน “มัน ใหญ่ มาก” คำเดิม แต่เพิ่มบริบทให้มันมากขึ้น กลายเป็น “มัน ใหญ่ มากก” ซึ่งเราต้องไปพิสูจน์กันว่าจะ สนุกขึ้น สะเด่าขึ้น มากแค่ไหน
ศิลปินที่มาในงาน Big Mountain Music Festival ครั้งที่สอง
จุ๋ยจุ๋ยส์, Monotone, ETC, Friday, เบน ชลาทิศ, Calories Blah Blah, Soul After Six, แสตมป์, Potato, 25 Hours, Playground, Hydra, Paradox, Flure, Clash, Nologo, Srirajah Rockers, T-bone, Zeal, Klear, Hangman, โต๋ ศักดิ์สิทธิ์, Apartment Khunpa, Sweet Mullet, Da Endophine, Jetset’er, Bodyslam, Armchair, Pancake, The Bottom Blues, Lipta, สิงโต นำโชค, Slot Machine, เจี๊ยบ วรรธนา, ตู่ ภพธร, Scrubb, Mashroom, Dudesweet, The Superglasses Ska Ensemble, Lula และอีกเพียบบบบ
เวทีและผับ ของ Big Mountain Music Festival ครั้งที่สอง
รูปแบบของงานยังคงไม่ต่างออกไปมากนัก เวทีใหญ่ทั้ง 2 เวที Forest Stage (ซึ่งจะถูกเรียกว่า Main Stage), Mountain Stage (ซึ่งจะถูกเรียกว่า Cow Stage) และ Dancing Tree ยังอยู่ครบ มีการปรับแต่งเวที Main Stage ใหม่ ตัดหอคอยออกไป เพิ่มชิงช้าสวรรค์เข้ามาเป็น 3 ตัวด้วยกัน ส่วนเวทีวัว Cow Stage ก็จะอัพเกรดเพิ่มหน้าตาใหม่ๆ ให้กับเจ้าวัวตัวเดิมที่ทุกคนชื่นชอบมัน เช่น วัวอาจจะแปลงร่างเป็น Iron Man หรือตัวละครจากหนังที่กำลังดังๆ อยู่ช่วงนี้ก็เป็นได้ Dancing Tree ต้นไม้ของขาเต้นยังคงตระหง่านเป็นแลนด์มาร์กที่ทางเข้าเช่นเคย ไปตื๊ดๆ กันได้ยามดึกนะจ๊ะ
ทั้ง 3 เวทียังคงตั้งอยู่ที่เดิมตั้งแต่งานครั้งแรกมาจนทุกวันนี้ เรียกว่า ขวางไม่ให้ใครมาใช้พื้นที่จัดงานกันเลยทีเดียว
ในส่วนของผับก็จะยังคงอยู่เช่นกัน แต่จะมีการปรับรูปแบบออกไปบ้าง ครั้งนี้จะมีผับเกิดใหม่ เรียกว่า “ผับอโคจร” ที่มีลักษณะเหมือนปลากระป๋อง อาจจะเรียกชื่อเล่นว่า “ผับปลากระป๋อง” ก็น่าจะได้ ผับนี้ควบคุมโดยน้าเน็ก เป็นผับที่ฉีกกฎทุกผับที่เคยมีมา ทุกที่เขาตรวจอาวุธก่อนเข้า ที่นี่จะแจกอาวุธให้ฟาดฟันกันข้างในเองเลย
อีกผับจะถูกเรียกว่า “ผับทุเรียน” ผับหลอนๆ กับดนตรีหลอนๆ และรูปร่างหลอนๆ ของมัน ลำโพงที่ติดไว้รอบด้าน 8 ทิศ แม้แต่ใต้พื้นดิน ผู้ที่จะเข้าผับต้องขึ้นบันไดขึ้นไปฟัง อาจจะรองรับผู้คนได้ไม่เยอะ เพราะเพลงแบบนี้ป๋าบอกว่า คงไม่มีใครจะอยู่ได้นานๆ นักหรอก
นอกจากนี้ ยังมีการขยับผับให้เข้ามาอยู่ใกล้กันมากขึ้น Durian Stage, District 9 Stage และ ผับอโคจร คือ 3 ผับใน “บิ๊ก-เมา-เต้น” หนนี้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานเดินไปเดินมาได้ใกล้ขึ้น หลังจากครั้งที่แล้ว มีคนบ่นว่า District 9 อยู่ไกลมาก (ผมก็คนนึงล่ะ 555)
ตลาด อาหารการกินในงาน Big Mountain Music Festival ครั้งที่สอง
ในโซนตลาดนั้น ในครั้งนี้จะใช้พื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น กินไปถึง 40,000 ตารางเมตร เท่ากับ 10 สนามฟุตบอล เป็นที่ที่ผู้เข้าชมงานจะฝากท้องฝากชีวิตเอาไว้ เพราะที่นี่จะขายอาหารการกิน ที่ต้องบอกว่า ครั้งที่แล้ว หลายร้านประสบปัญหาขายไม่ทันบ้าง เตรียมของมาไม่พอขายบ้าง ทั้งเหล่าผู้หิวกระหายต่างต้องยืนรออาหารกันนานจนจะเป็นลมเสียก่อน ส่วนคนขายก็จะเป็นลมเหมือนกัน เพราะไม่ว่างให้กินข้าวเลย…ซะงั้น
“ข้าวไข่เจียว” เป็นอาหารที่ทำง่ายทำเร็วที่สุด มันจึงจะกลายเป็นอาหารประจำชาติของเทศกาลดนตรี Big Mountain Music Festival หนสองนี้ มีการออดิชั่นร้านข้าวไข่เจียวที่ทำออกมาได้อร่อยถูกใจทีมงาน มันได้ถูกรวมกันไว้ในโซนที่เรียกซะเก๋ไก๋ว่า “ไข่เจียวซิตี้” จะมีแต่ข้าวไข่เจียวอร่อยๆ ในเมนูต่างๆ ให้เลือกกันเพียบ รับประกันความอร่อยโดยทีมงานเกเร แถมยังมีการเปิดโหวตว่าข้าวไข่เจียวร้านไหนโดนใจที่สุดอีกต่างหาก
หนที่แล้ว เบียร์หมดเป็นแสนๆ กระป๋อง หนนี้จะต้องหมดไข่เป็นแสนๆ ฟองเป็นแน่
งานนี้ยังมี “โซนกึ่งสำเร็จรูป” เอาไว้ระหว่างกลาง 2 เวทีใหญ่ เผื่อใครหิวก็แวะกลางทาง เทน้ำร้อนแล้วดื่มกินแก้หิวกระหายกันได้เลย ป๋าจัดให้ เทศกาลดนตรีที่ชิลล์ๆ สบายๆ อำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้ มีที่ไหนในโลก
สิ่งพิเศษอื่นๆ ที่เพิ่มมาจากครั้งก่อน
– ห้องน้ำที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกประมาณ 5 จุด กระจายทั่วงาน เรียกมันว่า “Toilet City” ทั้งที่สร้างไว้เป็นการถาวร และที่มาแบบเคลื่อนที่ ถ้ายังไม่พออีก ผมว่า คงต้องปรับที่ตัวคุณเองแล้วล่ะ มางานเทศกาลดนตรี บรรยากาศมันก็ต้องแบบเทศกาลดนตรีสิ ไม่ได้จัดที่อิมแพ็คนะคุณ
– สถานที่พัก จุดกางเต็นฑ์จะถูกย้ายไปรวมกันที่หน้าทางเข้า รวมกันเรียกว่า “ลาดกระบัง” อยู่เคียงข้าง “สุวรรณภูมิ” ที่เป็นลานจอดรถ ทั้งนี้ เพื่อให้สะดวกกับการเดินทางเข้าไปในงาน ไม่ต้องขนของพะรุงพะรัง ซึ่งต้องผ่านการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่อีก ความปลอดภัยก็จะเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับความสะดวกสบายของตัวคุณทุกคนเองด้วย
– เมื่อที่พักมารวมอยู่ด้วยกันแล้ว เรื่องห้องน้ำห้องท่าก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้ คราวนี้ เขาจัดโซนอาบน้ำ และห้องน้ำไว้ให้เป็นการเฉพาะ โอ่โถง ใครต้องการห้องอาบน้ำรวมบ้าง? บอกทีมงานเขานะครับ เผื่อเขาจะจัดให้ เหอๆ
– ยังมีของเล่นใหม่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่า “อุโมงค์ส่งความสุข” (คิดว่าใช่นะ) เป็นอุโมงค์คุณสามารถเข้าไปเติมต่อความสุขได้ภายใน และสามารถส่งต่อความสุขนั้นไปยังคนอื่นๆ ได้ ขออภัยที่ข้อมูลไม่แน่น
– ครั้งนี้ จะมีโรงหนังกับเขาด้วย จัดฉายดึกๆ เพื่อรำลึกถึงโรงหนัง “สยาม” จึงตั้งชื่อให้มันว่า “โรงหนังสยามสยองรามา” ฉายแต่หนังสยองขวัญเท่านั้น หลับได้ก็ให้มันรู้ไป
– มีกองอำนวยการกลาง ที่จะถูกเรียกว่า “ศาลากลาง” มีข้อแม้ว่า “ห้ามเผา” ที่นี่จะรวมเอาสถานีวิทยุเฉพาะกิจของงานเอาไว้ด้วย ซึ่งจะกระจายข่าวให้ทราบโดยทั่วกันว่า ณ ตอนนั้น มีอะไรเกิดขึ้นที่จุดไหนบ้าง จะได้เดินไปรับชมกันได้ทันเวลา
– มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นอีกแล้ว มีรถเมล์มาให้ 2 สายสำหรับคนไม่ชอบเดิน สายแรกวิ่งภายนอกงานมาส่งที่ทางเข้า กับสายในงาน รับส่งเฉพาะภายในงาน มีป้ายรถเมล์ด้วย เอากะเขาสิ ป้ายรถเมล์ก็ยังมีลูกเล่นด้วย มันถูกเรียกว่า “ป้ายรถเมล์หน้าเด้ง” เด้งยังไงลองไปพิสูจน์เองละกัน คิดกันไปได้
– ในส่วนของความสะอาด ครั้งที่ผ่านมา หลังลุกกันออกไปแล้ว พบว่าขยะเกลื่อนมาก แต่ก็มีทีมงานที่มาเก็บกันจนเกลี้ยง ครั้งนี้ ทางทีมงานได้คัดเลือกกลุ่มที่จะมาช่วยดูแลเรื่องการกำจัดคัดแยกขยะไว้ให้แล้ว กลุ่ม “Big Bin” จะมาดูแลตรงส่วนนี้ให้ ถ้าคุณได้รับรู้ข้อมูลในการคัดแยกและทิ้งขยะ ก็จงรับรู้ว่า คุณกำลังทำเพื่อโลกอยู่นะ
– มีจุดพักผ่อนหย่อนใจ ที่เรียกว่า “คาเฟ่เปลยวน” มีเปลเอาไว้พักกาย แต่ว่าต้องจ่ายค่าเวลานะ ไม่งั้นก็เอนกายกันไม่ยอมไปไหน คนอื่นก็ไม่ได้มาใช้กันพอดี
– งานนี้ ป๋าว่าจะชักชวนพริตตี้มากันอย่างเพียบ เรียกว่า อยากจะให้เป็นงานที่มีพริตตี้มาร่วมงานมากที่สุดในประเทศไทย จริงเท็จยังไง คงต้องลองไปพิสูจน์กันดู ว่า “มันจะ ขาว มาก” กว่าครั้งที่แล้วมั้ยนะ
ราคาบัตร Big Mountain Music Festival ครั้งที่สอง
งานนี้ ราคาของบัตรเข้างานจะเพิ่มขึ้นจากครั้งแรกประมาณหนึ่ง 2 วันสนนราคา 1,800 บาท แต่ถ้าซื้อก่อน 31 ตุลาคม 2553 จะเหลือ 1,500 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับค่าบัตรในครั้งแรกมาก (ครั้งแรก 2 วัน 1,400 บาท) และแน่นอนว่า จะมีรายการโปรโมชั่นร่วมสนุกกับทางสปอนเซอร์ที่จะตามออกมา ซึ่งน่าจะได้ลดราคาอีกประมาณ 25% ทีเดียวละครับ อ้อ บัตรจะมีขายที่ GMMlive.com และ Thai Ticket Major นะ กันยานี้ก็จะเริ่มขายแล้วล่ะ
แต่สำหรับคนที่เคยซื้อบัตร (ที่ไม่ใช่บัตรฟรี) เมื่องานครั้งที่แล้ว สามารถเอาบัตรที่เก็บไว้ไปซื้อบัตรได้ที่เคาน์เตอร์ 10,000 คนแรกจะได้สิทธิพิเศษรับเสื้อรุ่นพิเศษที่ไม่มีขายที่ไหนเป็นอันขาด ป๋ากำชับไว้เช่นนั้น
บัตรปีนี้ ขายเยอะขึ้น ขยับเป็น 35,000 ใบ คนจะมากันเยอะขึ้น แต่ก็ขอให้มากันอยู่ร่วมกันในเมืองแห่งเสียงเพลง อย่างคนที่อยากสนุกร่วมกันนะ อย่าเอาพวก “เกรียนๆ” มาเข้างานอีกเลย จะ “กร่อย” เสียเปล่าๆ
โดยรวมสำหรับวันนี้ ผมรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ดู “สารคดี มัน ใหญ่ มาก” ในบรรยากาศหนาวๆ แบบนี้ พร้อมเรื่องราวของงานครั้งใหม่ปลายปี งานเทศกาลดนตรีที่เราจะได้หนาวกันยิ่งกว่าครั้งที่แล้วแน่ๆ (ครั้งนั้น กลางวันร้อนมาก กลางคืนหนาวมาก) เห็นชื่อศิลปินที่คอนเฟิร์มแล้ว อื้อฮือ มี Soul After Six และ Hydra ด้วยนะตีวเธอ
ยังไงอย่าลืมชักชวนเพื่อนๆ ไปกันเยอะนะครับ
ขอขอบคุณ: เว็บไซต์ Thai Ticket Master (TTM) ที่ก๊อปปี้บทความและรูปภาพของหน้านี้ไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต
