รีวิวหนัง Minions 2: The Rise of Gru | มินเนี่ยน ยกกำลัง 2 ต้องมีกรู

สัปดาห์นี้คงไม่มีหนังอะไรที่คนรอคอยมากไปกว่า ‘Minions 2: The Rise of Gru’ หรือชื่อไทย ‘มินเนี่ยน 2’ อีกแล้ว หลังสนุกสนานกันไปกับภาคแรกที่หลายคนว่ามันยังไม่สุด เทียบกับที่คนดูได้จาก ‘Despicable Me’ ยังไม่ได้เลย ภาคต่อมาจึงจัดให้กับลีลาความยียวน บ๊อง เพี้ยน น่าร้ากกกกก ของเหล่าสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวตัวเหลืองที่รักเจ้านายเป็นบ้าเป็นหลังเรื่องนี้

เด็กน้อยกรูโตขึ้นเป็นเด็กวัยสิบเอ็ดขวบ เขามีชีวิตอยู่กับแม่ก็จริง แต่เหมือนเขาจะมีความสุขอยู่กับเจ้าพวกตัวเหลืองใต้ดินเสียมากกว่า ครั้งนี้ เขาได้พบเจอภารกิจชีวิต ความใฝ่ฝันของเขาคือการได้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวายร้าย และผลพวงของการทำตามฝัน ทำให้เหล่าตัวเหลืองต้องออกโรงช่วยเหลือเจ้านายอีกครั้ง ครั้งนี้ ยังมี Kyle Balda รับหน้าที่กำกับเหมือนเดิม แต่คนช่วยกำกับเปลี่ยนหน้าเป็น Brad Ableson และ Jonathan del Val

ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันที่เรื่องย่อของหนังแอนิเมชันเรื่องนี้กันเลยครับ

เรื่องย่อหนัง ‘Minions 2: The Rise of Gru’

ในช่วง 70’s กรู (Steve Carell/สตีฟ คาร์เรล จากหนังเรื่อง ‘Café Society’, ‘The Big Short’ และ ‘Minions’) หนุ่มน้อยที่โตขึ้นในแบบชานเมือง เขาเป็นแฟนคลับตัวบงของกลุ่มซูเปอร์วายร้ายอย่าง วิเชียส 6 (หรือเรียกอีกอย่างว่า หกโฉด) และหมายมั่นปั้นมือว่าตัวเองจะได้เข้าร่วมกลุ่ม

ในวันที่วิเชียสทั้งหกออกปล้นสร้อย 12 นักษัตรมาได้ พวกเขาก็ทำการอัปเปหิ ไวลด นักเคิล (พากย์เสียงโดย Alan Arkin/อลัน อาร์คิน จากหนังเรื่อง ‘Dumbo’, ‘Love the Coopers’ และ ‘Million Dollar Arm’) นักต่อสู้ระดับตำนานออกไปจากกลุ่มทันที และเริ่มรับสมัครสมาชิกใหม่ เข้าทางกรูพอดิบพอดี ในที่สุด เขาก็ได้เข้ารับการสัมภาษณ์ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นเพราะกรูดันไปโชว์ศักยภาพแบบเหนือๆ ซะเนี่ยดิ

จากนั้น เรื่องราวก็ยุ่งเหยิงสุดๆ แต่ยังดีที่เขาได้เหล่ามินเนี่ยนผู้ภักดีอย่าง Kevin, Stuart, Bob และหน้าใหม่ Otto เข้ามาช่วยเหลือไว้ พร้อมทั้งยังได้ ไวลด นักเคิล ที่ช่วยให้เขาเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นมหาวายร้ายที่แท้จริงอีกด้วย

รีวิวหนัง ‘มินเนี่ยน 2’

สานต่อความฮาด้วยท่วงท่าที่เหมือนรู้ทาง ทีมงานน่าจะมองเห็นชัดแล้วว่าคนดูชอบแบบไหน ครั้งนี้ เหล่ามินเนี่ยนจะได้เจอเจ้านายตัวจริงอย่าง กรู กันเสียที หลังตามหาเจ้านายแล้วพบว่าไม่ใช่มาภาคนึงเต็มๆ แถมภาคนี้ เหล่าตัวเหลืองก็ไม่ได้มีกันแค่ 3 ตัวเหมือนภาคก่อนหน้าแล้ว เพราะมันมากันเป็นโขยง เพียงแต่ตัวที่จะมีบทเด่นจริงๆ จะยังคงเป็นสามตัวหลัก เควิน, สจวร์ต และ บ็อบ แต่คราวนี้ จะมี อ็อตโต ตัวใหม่เพิ่มมาด้วย

ในส่วนพล็อตนั้น จะว่าไปก็ไม่ต้องไปเอาอะไรมาก เพราะแนวทางของแอนิเมชันตัวเหลืองนี่มันเป็นโลกที่ชื่นชอบและคลั่งไคล้วายร้าย ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่อย่างโลกอื่นๆ เพราะฉะนั้น กรูที่เพิ่งจะพ้นสิบขวบมาได้ไม่นาน จึงใฝ่ฝันอยากจะเป็นวายร้ายเสียเหลือเกิน และสปอตไลท์ของภาคนี้ส่องมาที่ก๊วนมหาวายร้าย 6 ตัวที่มีนามว่า ‘Vicious 6’ ที่ 5 ตัวที่เหลือดันเตะตาแก่ ‘Wild Knuckles’ ออกจากกลุ่มแล้วมองหาสมาชิกใหม่

ส่วนกรูที่ยังไม่โตดี ก็มุ่งหมายฉายเดี่ยว จู่ๆ ก็คิดจะผละจากสมุนตัวเหลืองไปอยู่กับ ‘Vicious 6’ ซะอย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความภักดีของพวกมันต้องสั่นคลอน สี่ตัวป่วนยังคงตามไปช่วยเหลือ หรือช่วยให้ป่วนหนักข้อกว่าเดิมก็ไม่รู้

อีกส่วนที่ทีมงานมองเห็น ก็คงเป็นการใช้ตลาดจีนมาช่วยรับประกันความปัง ในเรื่องจึงมีไชน่าทาวน์เป็นโลเกชัน ไม่พอยังสร้างเหตุให้ตัวละครกลายร่างเป็นสัตว์ประจำราศีอีกต่างหาก

ไม่พอ ภาคนี้ยังเล่าเรื่องในช่วงปี 1970s เพลงประกอบจึงไม่พ้นเพลงสไตล์ดิสโก้ที่มันชวนขยับขาได้ตลอดศก ส่งผลให้ ‘มินเนี่ยน 2’ สร้างความหฤหรรษ์แก่คนดูในหลายๆ ด้าน แม้ว่าความจริงมันจะมีความยาวเพียง 1 ชั่วโมง

เรื่องราวในหนังค่อนข้างจะยุ่งเหยิงพอดู มีการแยกย้ายกันทำภารกิจ ความผิดพลาดที่ทำให้เจอปัญหาใหม่ มีการพลัดหลงและการหากันจนเจอ แต่โดยรวมมันก็คือ การร่วมแรงร่วมใจกันทำสิ่งเดียวกันให้มันสำเร็จ ซึ่งกรูจะได้เรียนรู้ว่า เขาตัวคนเดียวไม่อาจทำได้ทุกอย่าง การพึ่งพาลูกสมุนและเชื่อใจพวกเขาเป็นส่วนสำคัญที่จะนำพาให้ภารกิจสำเร็จด้วยดี

บางทีการจะรู้ว่าตัวเองควรอยู่ทีมไหน ก็คงต้องรอให้ได้พบประสบการณ์ตรงสักอย่างนึงก่อน

แทบจะทั้งเรื่อง ทีมงานและผู้กำกับพยายามใส่มุกเปิ่นๆ รั่วๆ บื้อๆ ของเหล่ามินเนี่ยนให้เราได้ฮากันไม่ยั้ง บางมุมก็เล่นกับความมุ้งมิ้งขี้อ้อน ให้ต่อมหัวเราะทำงานกันไม่หยุด แม้พล็อตจะไม่ได้แปลกใหม่แต่มันก็คงไม่สำคัญและไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมคาดหวัง เพราะเสียงหัวเราจากแต่ละมุกที่ได้มันน่าจะมากพอให้พวกเขาอารมณ์ดีกับหนังมากพอแล้ว ครึ่งแรกของหนังนี่อาจจะมีฉากให้ฮากันเยอะหน่อย ก่อนที่ครึ่งหลังความฮาอาจลดลงไปเพราะต้องให้เวลากับฉากแอคชันกับภาพสีสันสวยๆ นั่นเอง มองดูแล้ว นี่น่าจะเป็นภาคที่เชื่อมต่อไปยังภาคหลักอย่าง ‘Despicable Me’ ได้ดี

แต่ก็อาจมีภาคถัดไปที่กรูโตกว่านี้อีกหน่อยได้เหมือนกันนะ

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง