รีวิวหนัง 366 Days | โศกนาฏกรรมรักที่โอกินาว่า ขยี้เก่ง เสียน้ำตาไม่หยุด
สลับตัวเองไปดูหนังญี่ปุ่นบ้าง หลังรู้สึกมาสักพักว่าตัวเองดูหนังญี่ปุ่นน้อยเหลือเกิน จนเริ่มคิดว่าต่อไปนี้จะดูให้มากขึ้น งั้นก็เริ่มต้นนับหนึ่งกันด้วยเรื่องนี้ละกันนะ ‘366 Days’ หนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงญี่ปุ่นเก่าๆ เพลงหนึ่ง ซึ่งก็มีชื่อเดียวกับหนังเรื่องนี้นั่นแหละครับ
คิดเห็นเช่นไรกับหนังญี่ปุ่นเรียกน้ำตาเรื่องนี้?
แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักเพลงต้นตอนี้เลยก็ตาม แต่เราสามารถจะอินไปกับเรื่องราวได้ หนังญี่ปุ่นที่ไม่เล่าตามลำดับเวลา ที่เปิดให้เล่าเรื่องได้น่าติดตาม เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์เกือบท้าย ๆ ก่อนสลับกลับไปเล่าจุดเริ่มต้นและกลับไปกลับมา กว่าจะได้ล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมด บทหนังและการแสดงของทุกตัวก็ขยี้พาคนดูน้ำตาไหลครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสะเทือนใจ แม้จะรู้สึกอยู่ข้างในว่า ไม่ชอบตัวละครคนนี้เลยก็ตาม
ภาพทะเลโอกินาว่าสวย ๆ คือจุดเด่นของหนัง มีเครื่องเล่น MD Player รูปถ่ายจากกล้องโพราลอยด์เป็นกิมมิก มีเพลงให้ฟังท้ายเรื่องอีกตามเคย
เรื่องย่อหนัง ‘366 Days’
มันเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าของคนคู่หนึ่ง ย้อนกลับไปในอดีต มินาโตะ (Eiji Akaso/อากาโซ เอย์จิ จากหนัง ‘ใครโกหกยกมือขึ้น’) กับ มิอุ (Moka Kamishiraishi/คามิชิราอิชิ โมกะ จากหนัง ‘มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย’) เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เรียน ม.ปลาย อยู่ในโรงเรียนเดียวกันบนเกาะโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยมินาโตะที่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง แต่ความฝันนั้นก็สะดุดลงเพราะแม่ที่ป่วยหนัก ขณะที่มิอุ เด็กสาวที่เกิดในวัน Leap Day เธอจะมีวันเกิดเพียง 1 ครั้งใน 4 ปี เธอฝันจะเป็นล่ามเหมือนกับแม่ของตัวเอง
ทั้งสองคนถูกโชคชะตานำพาให้พบกัน พวกเขาชอบเพลงเดียวกัน และตกลงใจจะคบหากัน มิอุเอ่ยปากบอกกับมินาโตะว่า สักวันนึง เธออยากจะได้ฟังเพลงที่เขาแต่ง เมื่อเรียนจบ มินาโตะย้ายเข้าไปเรียนในโตเกียว ก่อนที่ต่อมา มิอุจะย้ายตามไป หลังเรียนจบ ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันในวันที่มินาโตะได้ทำงานในค่ายเพลง แต่แล้ว โดยไม่คาดฝัน มินาโตะบอกเลิกกับมิอุและหายหน้าไป
รีวิวหนัง ‘366 วัน’
ผมเองที่ไม่ได้รู้จักหนังเรื่องนี้มากนัก นอกจากได้ดูตัวอย่างมาก่อนเข้าโรง หนังดูหนังจบก็มาพบว่า มันเป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงที่ชื่อ ‘366 nichi’ ของศิลปิน HY และเคยมีซีรีส์ชื่อเดียวกัน แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่มีส่วนไหนที่ผมจะเคยผ่านหูผ่านตามาก่อนเลย เพราะฉะนั้น นี่คือครั้งแรกที่ผมได้ฟังและได้พบกับเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของคนสองสามคนกลุ่มนี้
สิ่งที่ชวนประทับใจแรกสุดเลยจากหนังเรื่องนี้ คือ ถ่ายทัศนียภาพของชายทะเลโอกินาว่ามาได้สวยและชวนอบอุ่นอย่างมาก เลือกใช้การเกรดสีฟ้าที่ทำให้อยากไปเที่ยวทะเล ไม่ก็ถ้าทำได้ อยากจะมีบ้านอยู่ติดทะเลมันซะเลย อะไรประมาณนั้น แต่บรรยากาศทั้งหมดช่างตัดกันเหลือเกินกับสิ่งที่ตัวละครกำลังเผชิญ
บทหนังถูกเขียนขึ้นจากมุมมองแบบสังคมญี่ปุ่นจริง ๆ ความรักที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ เครื่องเล่น MD จากโซนี่ที่เคยฮิตในไทยชั่วแว้บหนึ่ง กลายเป็นสื่อรักที่ทำให้มิอุและมินาโตะได้พบเจอและรักกัน การส่งเพลงแลกกันฟังนี่มันช่างโรแมนติกเหลือเกิน นึกถึงช่วงวัยรุ่นของตัวเองเลยจริง ๆ เคยอัดเทปรวมเพลงที่ชอบและสื่อถึงเขาให้อีกฝ่ายฟัง แม้มันจะไม่ได้สมหวังเลยก็ตาม
นอกจากเครื่องเล่น MD Player แล้ว หนังก็ยังมีรูปถ่ายโพราลอยด์เป็นอีกหนึ่งกิมมิกให้ใช้ในการโปรโมตได้อีกด้วยนะ
แต่ก็อย่างที่เรารู้ (จากเรื่องย่อและตัวอย่างหนัง) ทั้งสองคนไม่ได้ลงเอยกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่บทหนังพยายามจะทำให้เราครุ่นคิดพลางไม่เข้าใจ ทำไมมินาโตะเปลี่ยนใจอย่างปุบปับ ทำไมเขาจึงบอกเลิกและทำให้มิอุต้องสับสนใจ ก่อนที่ในเวลาต่อมา หนังมันจะเฉลยความจริง
ไม่ว่าจะยังไง คนดูอย่างเราก็ไม่เข้าใจอยู่ดีแหละ การโกหกด้วยเจตนาดี (ที่เขาคิดว่ามันถูก) กลายเป็นการจากลาที่น่าเศร้า มันจะดีอย่างไร คนรักกัน ก็ควรจะเปิดใจบอกเล่าและช่วยกันฝ่าฟันไปด้วยกันไม่ใช่หรือ?
หนังยังมีอีกตัวละครหนึ่ง ริวเซย์ (Yuto Nakajima) เพื่อนหนุ่มที่อยู่ข้างกายมิอุมาโดยตลอด เขารู้ดีถึงจิตใจของมิอุที่ชอบมินาโตะ จึงไม่ได้ทำอะไร รอเวลาอยู่เงียบ ๆ และไม่เคยเปลี่ยนแปลงหัวใจ กลายเป็นตัวละครที่น่าสงสาร พาให้คนดูรู้สึกเห็นใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ชวนขัดใจเล็ก ๆ เพราะให้รู้สึกตะหงิด ๆ ในใจว่า การตัดสินใจสำคัญอย่างการใช้ชีวิตร่วมกัน มันควรต้องถามอีกฝ่ายก่อนมั้ย?
กับอีกหนึ่งตัวละครที่โดดเด่นไม่แพ้สามคนที่ว่ามา นั่นคือตัวละคร ฮิมาริ (Kurumi Inagaki จากหนัง ‘Oshi no Ko: The Final Act’) ลูกสาววัยมัธยมของมิอุ ความน่ารักสดใสพาเราไปจนถึงปลายทางได้จริง ๆ
หนังเหมือนให้นางเอกเป็นตัวแทนของเราเหมือนกันนะ ไม่ได้จริงจังกับชีวิตมากนัก ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็พอ ประสบความลำบากในการหางาน ชอบฟังเพลง ชอบทะเล ชอบสีฟ้า เรามักจะเห็นเธอในชุดสีฟ้าเสมอ ๆ เลย

Source|Siamzone
หนังใช้เวลาเดินเรื่องแบบสลับเวลา มีตัวอักษรบอกปีเพื่อให้คนดูรู้ว่า มันกระโดดไปเล่าในช่วงเวลาไหน การเล่าแบบนี้ ทำให้กำหนดได้ว่าจะให้คนดูรู้สึกเช่นไร ปิดซ่อนความจริงบางอย่างไว้ แล้วมาเฉลยทีหลัง โปรยขนมปังไว้ ชวนให้อยากรู้แล้วเล่าต่อ ทิ้งระยะไว้สักพักแล้วค่อยเฉลย ระหว่างนั้น ก็ให้คนดูได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ไปด้วย ก็มันเป็นหนังที่เล่าเรื่องเสียงเพลงนี่นา
แต่สิ่งที่ต้องพูดถึง ไม่พูดไม่ได้ก็คือ การที่หนังขยี้ซีนเรียกน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่านี่แหละ ประสบการณ์การรับชมหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้คือ การได้นั่งเช็ดน้ำตาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักแสดงเล่นดี บทก็ดูจะส่งเสริม แม้จะมีตัวละครที่น่าขัดใจอยู่ในนั้นก็ตามที
หนังปิดท้ายด้วยเสียงเพลงที่เป็นต้นตอของแรงบันดาลใจ คนดูจะได้อ่านซับไตเติลที่บ่งบอกความหมายที่กลายมาเป็นเรื่องราว เดินออกจากโรง กรุณาเช็ดน้ำตาให้แห้งก่อนนะครับ
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
| ชื่อภาพยนตร์ | 366 วัน / 366日 |
| กำกับ | Takehiko Shinjo |
| เขียนบท | Kaho Fukuda |
| แสดงนำ | Eiji Akaso, Moka Kamishiraishi, Kurumi Inagaki, Ryoko Kuninaka, Yuto Nakajima |
| แนว/ประเภท | โรแมนติก |
| เรท | |
| ความยาว | 122 นาที |
| ปี | 2025 |
| สัญชาติ | ญี่ปุ่น |
| เข้าฉายในไทย | 28 สิงหาคม 2025 |
| ผลิต/จัดจำหน่าย | Shochiku, Sony Pictures International Productions, M Studio |
คะแนนรีวิวหนัง 366 วัน
พล็อตและบท - 6
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
งานถ่ายภาพ และเทคนิคพิเศษ - 7.5
7
366日
แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักเพลงต้นตอนี้เลยก็ตาม แต่เราสามารถจะอินไปกับเรื่องราวได้ หนังญี่ปุ่นที่ไม่เล่าตามลำดับเวลา ที่เปิดให้เล่าเรื่องได้น่าติดตาม เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์เกือบท้าย ๆ ก่อนสลับกลับไปเล่าจุดเริ่มต้นและกลับไปกลับมา กว่าจะได้ล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมด บทหนังและการแสดงของทุกตัวก็ขยี้พาคนดูน้ำตาไหลครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสะเทือนใจ แม้จะรู้สึกอยู่ข้างในว่า ไม่ชอบตัวละครคนนี้เลยก็ตาม ภาพทะเลโอกินาว่าสวย ๆ คือจุดเด่นของหนัง มีเครื่องเล่น MD Player รูปถ่ายจากกล้องโพราลอยด์เป็นกิมมิก มีเพลงให้ฟังท้ายเรื่องอีกตามเคย












