รีวิวหนัง Bugonia | ปั่นหัว ตลกร้าย สไตล์ยอร์กอส

มีหนังเรื่องนี้ที่ได้ยินว่ามันเคยเป็นหนังเกาหลีมาก่อน ก่อนที่จะถูกรีเมกใหม่ให้กลายเป็นเวอร์ชันของ ยอร์กอส ลานธิมอส ผู้กำกับที่สร้างงานอันเป็นเอกลักษณ์มาหลายเรื่อง แต่ทว่า ผมยังไม่เคยได้ดูเวอร์ชันดั้งเดิม จึงจะไม่ขอเปรียบเทียบ ‘Bugonia’ หรือชื่อไทย ‘บูโกเนีย’ เรื่องนี้ในบทความนี้นะครับ มันเป็นเรื่องราวของชายสองคนที่ลักพาตัวนักธุรกิจสาวคนดังเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นเอเลี่ยนครับผม

คิดเห็นเช่นไรกับหนังยอร์กอสเรื่องนี้?

เป็นอะไรที่น่าสนใจดี หนังของยอร์กอสที่มีความจิกกัดความเป็นมนุษย์และชีวิตทุนนิยม ผ่านเรื่องราวของสองหนุ่มหมกมุ่นที่ลักพาตัวซีอีโอสาว แถมกล่าวหาว่าเธอเป็นมนุษย์ต่างดาว หนังยอร์กอสที่มีทั้งเจสซี เพลมอนส์ หนุ่มโทรมผู้หมกมุ่นกับแผนการบ้าๆ และ เอมมา สโตน ผู้ที่ยอมโกนหัวเล่น

เป็นหนังที่ดูง่ายสุดละ ปั่นหัวคนดูเก่งเกิ๊น 20 นาทีสุดท้ายเป็นอะไรที่อึ้งและโคตรชอบเลยล่ะ

เรื่องย่อหนัง ‘Bugonia’

มันเป็นเรื่องราวของ เทดดี้ (Jesse Plemons จากหนังเรื่อง ‘The Power of the Dog’) และดอน (Aidan Delbis) 2 หนุ่มผู้หมกมุ่นในทฤษฎีสมคบคิด ผู้มีความเชื่อจากการสังเกตผึ้งที่ตัวเองเลี้ยงและมองว่ามันเป็นผลจากยาฆ่าแมลงของบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่ง พวกเขาจึงเริ่มต้นปฏิบัติการลักพาตัว มิเชล (Emma Stone จากหนังเรื่อง ‘La La Land’ และ ‘Poor Things’) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผู้ทรงพลังของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

หนุ่มเพี้ยน ๆ สองคนนี้มีความเชื่อครับ พวกเขาเชื่อว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่มีเป้าหมายจะทำลายโลก เอากะเขาสิ

รีวิวหนัง ‘บูโกเนีย’

ด้วยความที่ยังไม่เคยดูเวอร์ชันเก่า ฉะนั้น เราจึงได้แต่ประหลาดใจกับเรื่องราวกับมันเป็นสิ่งใหม่ คนดูอย่างเราที่เคยผ่านผลงานอันเป็นที่จดจำของยอร์กอส ไม่ว่าจะเป็น ‘The Lobster’, ‘The Killing of a Sacred Deer’, ‘Dogtooth’ , ‘The Lost Daughter’, ‘The Favourite’ และ ‘Poor Things’ ก็คงจะเข้าใจได้ดีว่า นี่แหละสไตล์ของเขาเลยล่ะ

เอาเข้าจริง นี่ถือเป็นหนังที่ดูง่ายกว่าหลายๆ เรื่องของเขาเลยนะ มันเริ่มต้นด้วยชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของสองหนุ่มผู้หมกมุ่นอยู่กับทฤษฎีสมคบคิด แถมมั่นใจว่ามิเชลเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างสนิทใจ พวกเขาน่าจะอยู่ระหว่างความสติสุดเฟื่องและเพี้ยนสุดขอบ ระหว่างดูหนัง เราเลยรู้สึกสงสัยว่า ไอ้สองคนมันรู้เรื่องจริง ๆ หรือมันเพี้ยนกันแน่วะ

เจสซี เพลมอนส์ ในเรื่องนี้ ภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากพอสมควร เขากลายเป็นชายหนุ่มร่างผอมโทรม ผมเผ้าและหนวดรุงรัง เข้าคู่กับชายหนุ่มบุคลิกบื้อได้เป็นอย่างดี เราชื่นชมเจสซี่ในความสามารถทางด้านการแสดงที่ปรับเปลี่ยนให้แตกต่างไปตามแต่บุคลิกที่เขาสวมบทบาท แต่นักแสดงสุดโดดเด้งของเรื่องนี้คงไม่พ้น เอมม่า สโตน ผู้รับบทเป็นซีอีโอสาวผู้ทรงอำนาจที่ดูแลบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกา

นักธุรกิจสาวที่พาเราฮาด้วยไดอะล็อกที่กัดวงการการทำงานได้อย่างสนุกปาก เธอสวมบทบาทนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับเป็นนักแสดงหญิงระดับท็อปของวงการ ยิ่งเมื่อถึงตอนที่ถูกสองหนุ่มลักพาตัวไป เธอต้องยอมให้พวกเขาโกนหัวจริง ๆ เพราะมันจะตัดการส่งสัญญาณถึงยานแม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ จัดเกมหลอกปั่นหัวทั้งสองหนุ่มและคนดูซะอยู่หมัดเลยทีเดียว

ด้วยสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ บทจะเรียบนิ่งก็เรียบซะจนง่วงงุน แต่บทจะโฉ่งฉ่างจนตื่นเต็มตา บทจะตลกร้ายก็ฮาได้เต็มปาก แถมคงไม่มีใครคาดเดาได้ว่า เรื่องนี้จะจบลงยังไง ถ้าไม่เคยได้ดูเวอร์ชันเกาหลีมาก่อน แต่ไม่ว่ายังไง โดยรวมของหนัง มันแฝงไว้ด้วยอารมณ์ความจิกกัดสังคมมนุษย์ หรือถ้าจะให้เจาะจงลงไปก็คงเป็นสังคมทุนนิยมนั่นแหละ ไหนจะเรื่องสังคมการทำงาน เจ้าของธุรกิจที่มีมุมมองต่อพนักงาน อันนี้เข้าหัวสุดละ

สำหรับ เอมม่า ในเรื่องนี้เธอต้องโกนหัวจริง ๆ (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนัก เพราะไปไหนก็สวมวิกได้อยู่แล้ว) ถ้าให้นึกภาพในช่วงถ่ายทำ ก็เหมือนผู้กำกับเอาเธอมาแกล้งเล่นอะไรประมาณนั้น

Taglines: It all starts with something magnificent.

ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนังคือความพีค อะไรที่คาดไม่ถึงก็จะได้เจอและอึ้ง หรืออาจจะสงสัยในใจตะหงิดๆ ก็อาจจะได้พบกับคำตอบ คิดในใจว่า เอางี้เลยเรอะ เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่ชอบที่สุดในหนังไปเลยล่ะครับ

แต่ก็อาจจะสำหรับใครที่ไม่เคยดูเวอร์ชันเดิมมาก่อนแหละเนอะ อาจจะนะ!

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง