ในโลกนี้มีหนังหลายเรื่องเลยล่ะที่เล่าถึงกิจกรรมการแข่งขันกันระหว่างมนุษย์ พวกเขาต้องมาต่อสู้กันทั้งที่เสี่ยงชีวิตแต่เพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า (โดยเฉพาะครอบครัว) คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘The Running Man’ หรือชื่อไทย ‘เดอะ รันนิ่งแมน’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น มันเป็นผลงานจากของ สตีเฟ่น คิง นักเขียนเลื่องชื่อ ที่วันนี้ถูกหยิบจับมาบอกเล่ากันใหม่อีกครั้ง
คิดเห็นเช่นไรกับหนังจากหนังสือเรื่องนี้?
เอ็ดการ์ ไรท์ ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาสร้างมันเป็นหนังดิสโทเปียที่ดูสนุกไปพร้อมกับจริงจังในประเด็นสังคมไปพร้อม ๆ กัน พระเอกที่ลำบากหนัก ทั้งตกงาน ไร้เงิน ลูกป่วย ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วมเกมโชว์สุดอันตรายเพื่อเสี่ยงชีวิตคว้าเงินรางวัลก้อนมหาศาล หนังพาคนดูลุ้นระทึกไปกับการหนีการไล่ล่า และการสู้กลับเพื่อเอาตัวรอด เป็นหนังดิสโทเปียที่ชี้ประเด็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และความฉ้อฉลของสื่อที่หลอกลวงคนดูทุกอย่างเพื่อเรตติ้ง
หนังเดินเรื่องได้กระชับ ไม่มีช่วงพักให้คนดูรู้สึกถึงการเว้นวรรค คนดูได้ทั้งฮา ลุ้น และได้สาระไปพร้อมกันด้วย
เรื่องย่อหนัง ‘The Running Man’
เบ็น ริชาร์ดส (Glen Powell จากหนังเรื่อง ‘Hit Man’ และ ‘Top Gun: Maverick’) คุณพ่อวัยสามสิบห้าที่เจอวิกฤติ หลังทำตัวเป็นฮีโร่จนสร้างความเสียหาย หางานทำไม่ได้ ลูกสาวตัวน้อยก็กำลังป่วยจึงต้องการเงินค่าหมออย่างด่วน บอกกับหวังพาครอบครัวหนีพ้นจากสลัม ทำให้เขาไม่มีทางเลือกต้องเข้าร่วม ‘รันนิ่งแมน’ โชว์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เพื่อแย่งชิงเงินก้อนโต.. หนึ่งพันล้านนิวดอลลาร์ แต่ใคร ๆ ต่างก็รู้กันว่า ไม่เคยมีใครรอดกลับจากเกมนี้
ด้วยกติกาง่าย ๆ ว่า เขาจะต้องอยู่ให้รอดภายใน 30 วันต่อจากนี้ ท่ามกลางคนทั้งประเทศและเหล่าฮันเตอร์ที่ติดตามไล่ล่าและฆ่าเขา หลังออดิชันผ่านเรียบร้อย เขาก็ได้เจอเข้ากับ แดน คิลเลียน (Josh Brolin จากหนังเรื่อง ‘Weapons’) ชายผู้จัดการแข่งขัน และได้พบเจอกับเรื่องที่ทำเขาโกรธเกรี้ยวสุดขีด ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะได้พบกับเกมโชว์เสี่ยงตายกันในภาพยนตร์เรื่องนี้
รีวิวหนัง ‘เดอะ รันนิ่งแมน’
ที่จริงแล้ว หนังเรื่องนี้เคยมีเวอร์ชันก่อนหน้า เป็นหนังปี 1987 ที่แสดงนำโดย Arnold Schwarzenegger และกำกับโดย Paul Michael Glaser นั่นแหละ แต่มันถูกหยิบมาสร้างใหม่อีกครั้ง กำกับโดย Edgar Wright คนที่มีเครดิตจากการกำกับหนัง ‘Last Night in Soho’, ‘Hot Fuzz’, ‘The World’s End’ และโดยเฉพาะ ‘Baby Driver’ ที่ใครหลายคนชื่นชอบ หนนี้ เขาเลือกให้ Glen Powell มารับบทนำ
หนังบอกเล่าถึงโลกที่สังคมอเมริกาเสื่อมโทรมหนัก อารมณ์จึงออกมาเป็นหนังดิสโทเปีย เมื่อพระเอกมีเมียมีลูกสาว สองคนพ่อแม่ต้องช่วยกันหาเงินอย่างยากลำบาก เพื่อมารักษาลูกสาวที่กำลังป่วย ต้องการทั้งยาและค่าหมอ แต่คนพ่อเกิดติดปัญหา ความเป็นคนดีฮีโร่เกิ๊น ส่งผลให้เขาต้องตกงานแถมยังหาใหม่ไม่ได้ สุดท้ายจนตรอกต้องหวังพึ่งพาเงินจากรายการเกมโชว์ที่เคยมองว่าจะไม่ไปเล่นอย่างเด็ดขาด
สุดท้ายความเดือดก็พาเขาไปสู่เกมใหญ่ เป็นเกมแบบเรียลิตี้ มีกล้องโดรนที่คอยเก็บภาพทุกอิริยาบท มีคนดูทั่วประเทศ ขณะเดียวกันกติกาก็เปิดให้คนทั่วไปสามารถจัดการกับผู้เล่นได้ ไม่ใช่แค่ฮันเตอร์ในเกมเท่านั้น พระเอกอย่าง เบ็น ริชาร์ดส์ ต้องอยู่รอดให้ได้ใน 30 วันจึงจะคว้าเงินรางวัลก้อนโตไป
พล็อตแห่งความเสียสละเพื่อครอบครัวได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางฟีลหนังเรียลลิตี้ที่อาจไม่ใช่ของใหม่อีกต่อไป แต่มันก็ฮาดีที่พฤติกรรมของเบ็น ที่เกล็น พาวเวลล์ สวมบทบาทนั้น มันพาให้นึกถึงตัวละครที่เขาเป็นในหนังเรื่อง ‘Hit Man’ เพราะเขาต้องปลอมตัวเป็นคาแรกเตอร์ต่าง ๆ เพื่อซ่อนตัวให้ผ่านพ้นไปจนถึง 30 วันให้ได้นั่นเอง
Taglines: Hunt him down.
แต่เมื่อเราได้นั่งดูเกมไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งพบความจริงบางอย่างที่ประกอบรวมร่างเป็นเกมโชว์อันน่ารังเกียจนี้ หลายอย่างเลย นอกเหนือจะเอาชีวิตรอดจากการถูกไล่ล่าที่อาจถึงแก่ชีวิตก่อนจะได้กลับไปเจอครอบครัวแล้ว การฆ่าคนของผู้เล่นก็ได้รับเงินโบนัสพิเศษอีกด้วย นี่ผมมาเพื่อหาเงินนะ ไม่ใช่ฆ่าคน!
ที่สำคัญ รายการมีการบิดเบือนเนื้อหาหลอกลวงคนดูเพื่อหวังผลด้านเรตติ้ง (เข้ากับโลกปัจจุบันที่คลิปต่าง ๆ สร้างขึ้นจาก AI หลอกให้คนคิดว่าจริง) มันจึงมีความ Propaganda ปะปนอยู่ ทำให้คนดูคิดว่าพวกเขาทำถูกต้องแล้ว โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นความจงใจของผู้คุมเกม
อีกหลายมุมที่ทำให้มองเห็นว่าผลงานที่ดัดแปลงจากหนังสือของ สตีเฟ่น คิง เรื่องนี้มีความจิกกัดสังคมทุนนิยม จิกกัดเรื่องราวความเหลื่อมล้ำ ที่ทำให้เกิดชนชั้นขึ้นในสังคม(ที่คิดเองเออเองว่า)เท่าเทียม ด่าไปถึงทั้งฝ่ายรัฐ สาดรวมไปถึงกระทั่งสื่อ
Source|UIP Thailand
แต่หนังของ เอ็ดการ์ ไรท์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ใส่คาแรกเตอร์ตัวเอกที่จนตรอกแต่ต้องเข้าร่วมเกมเพื่อครอบครัว เดินเรื่องอย่างกระชับ อาจสาดข้อมูลจนล้นสมองไปบ้าง แต่เขาก็ส่งพระเอกไปบู๊ เสี่ยงตาย ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับใจ พาผู้ชมให้ลุ้นระทึกไปกับการผจญภัยเอาตัวรอดได้อย่างบันเทิง บางช่วงมีฮา แต่หลายช่วงพาลุ้น
แต่ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 13 นาที อาจทำให้รู้สึกว่ามันยาวเกิน จนทำให้ช่วงจบหนังดูรวบรัดไปนิดนึงเท่านั้นเอง อ่อ หนังไม่มีฉากแถม มีแต่เครดิตปิดท้ายที่ดูดิบ ๆ ดี…นะขอรับ!
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
| ชื่อภาพยนตร์ | The Running Man / เดอะรันนิ่งแมน |
| กำกับ | Edgar Wright |
| เขียนบท | Stephen King, Michael Bacall, Edgar Wright |
| แสดงนำ | Glen Powell, Emilia Jones, Josh Brolin, Katy O’Brian |
| แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, ไซไฟ, ระทึกขวัญ |
| เรท | R |
| ความยาว | 133 นาที |
| ปี | 2025 |
| สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
| เข้าฉายในไทย | 13 พฤศจิกายน 2025 |
| ผลิต/จัดจำหน่าย | Complete Fiction, Genre Films, Paramount Pictures |
คะแนนรีวิวหนัง เดอะ รันนิ่งแมน
พล็อตและบท - 7.7
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7.7
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.7
การถ่ายทำ โปรดักชั่นและเทคนิคพิเศษ - 8
7.7
The Running Man
เอ็ดการ์ ไรท์ ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาสร้างมันเป็นหนังดิสโทเปียที่ดูสนุกไปพร้อมกับจริงจังในประเด็นสังคมไปพร้อม ๆ กัน พระเอกที่ลำบากหนัก ทั้งตกงาน ไร้เงิน ลูกป่วย ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วมเกมโชว์สุดอันตรายเพื่อเสี่ยงชีวิตคว้าเงินรางวัลก้อนมหาศาล หนังพาคนดูลุ้นระทึกไปกับการหนีการไล่ล่า และการสู้กลับเพื่อเอาตัวรอด เป็นหนังดิสโทเปียที่ชี้ประเด็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และความฉ้อฉลของสื่อที่หลอกลวงคนดูทุกอย่างเพื่อเรตติ้ง หนังเดินเรื่องได้กระชับ ไม่มีช่วงพักให้คนดูรู้สึกถึงการเว้นวรรค คนดูได้ทั้งฮา ลุ้น และได้สาระไปพร้อมกันด้วย
