รีวิวหนัง Avatar: Fire and Ash อวตาร 3 | โดดเด่นที่งานภาพ (เช่นเคย)
สร้างกันมาจนถึงภาคที่สามแล้วนะ สำหรับหนังไซไฟแฟนตาซีที่ลือลั่นทำรายได้ถล่มทลายมาทั้งสองภาค คราวนี้ใช้ชื่อว่า ‘Avatar: Fire and Ash’ หรือชื่อไทย ‘อวตาร: อัคนีและธุลีดิน’ เรื่องราวที่เล่าต่อจากภาคสอง ชนิดที่จะบอกว่าเป็นอีกครึ่งหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก หลังจากคนบนฟ้าตามไล่ล่ามาจนถึงนาวีเผ่าทะเล แต่ตัวร้ายไม่ได้ตาย หนนี้ก็ได้เวลาจู่โจมหนักแล้วล่ะครับ
คิดเห็นเช่นไรกับหนังอวตารภาคที่สามนี้?
หลังจากภาคสอง เน้นความงดงามของผืนน้ำไปซ้ำครึ่งเรื่อง มาภาคนี้ที่ดูไปก็เหมือนเป็นอีกครึ่งของภาคสอง เล่าเรื่องต่อเนื่องมาแต่มีพาร์ทแอคชั่นปูทั่วทั้งเรื่องมากขึ้น แม้ตัวบทกับตัวละครที่ยังคงไร้พัฒนาการ คิดอ่านและกระทำแบบใดก็ยังคงคิดและทำไม่แตกต่างจากเดิม ขณะที่ความยาวของหนังที่มากกว่า 3 ชั่วโมงก็ยังเป็นปัญหาต่อการติดตามของผู้ชม
พระเอกของแฟรนไชส์อวตารจึงยังคงเป็นงานด้านการสร้างภาพ จินตนาการในการสร้างสรรค์โลกแห่งแพนดอร่า สัตว์ชนิดต่างๆ พร้อมเพิ่มชาวนาวีกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า เผ่าธุลี เข้ามา
เรื่องย่อหนัง ‘Avatar: Fire and Ash’
หลังนายพันไมลส์ ควอริทช์ (Stephen Lang จากหนังเรื่อง ‘Don’t Breathe’) ร่างนาวีโคลนตามไล่ล่าครอบครัวซัลลี่มาจนถึงนาวีเผ่าทะเล และโดนครอบครัวซัลลี่สู้กลับจนไมลส์แทบจะไม่รอด
ด้านครอบครัวซัลลี่ที่นำโดย เจค (Sam Worthington จากหนังเรื่อง ‘Relay’) และเนย์ทีรี่ (Zoe Saldaña จากหนังเรื่อง ‘Guardians of the Galaxy’) พวกเขามีลูกด้วยกันสามคน หลังสูญเสียเนเทยัมไปก็เหลือ โลอัค และทู้ค แต่พวกเขาก็ยังมี คิรี (Sigourney Weaver จากหนังเรื่อง ‘Ghostbusters: Afterlife’) เป็นลูกสาวของเกรซที่ตายไปแล้ว และก็มีสไปเดอร์ (Jack Champion จากหนังเรื่อง ‘Scream VI’) ลูกมนุษย์ที่เจคถือเป็นครอบครัว พวกเขาตั้งใจจะเดินทางไปเพื่อส่งสไปเดอร์แต่กลับถูกขัดขวางเข้าเสียก่อน
หลังเพลี่งพล้ำเกือบตายในภาคที่แล้ว มาคราวนี้ ไมลส์จัดหนักสร้างพันธมิตรใหม่เป็นชาวนาวีเผ่าธุลีผู้ไม่เชื่อในเอวา ที่นำโดยซาฮิคที่ชื่อ วารัง (Oona Chaplin จากซีรีส์ ‘Game of Thrones’) นางมีจิตใจโหดเหี้ยมจนทำให้ เจคซูลี่และเนย์ทีรี่ต้องกระอักเลือดเพื่อรักษาครอบครัวเอาไว้
รีวิวหนัง ‘อวตาร: อัคนีและธุลีดิน’
หวนคืนกลับสู่ดาวแพนดอร่ากันเสียนะทุกคน เป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เราจะต้องเข้าโรงไปดูแฟรนไซส์หนังผลงานการกำกับของ เจมส์ คาเมรอน ที่มีความยาวกว่า 3 ชั่วโมงในโรงหนัง หลายคนแนะนำให้เลือกโรง IMAX 3D เพราะความจอใหญ่อลังการ ไปชื่นชมงานภาพและเสียงกระหึ่มคมชัด แต่สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยแต่ยังอยากสัมผัสบรรยากาศแบบ 3 มิติ ก็เลยเลือกใช้โรงดิจิตอลแทน
หลังจากดูภาคนี้จบ สัมผัสได้ว่า มันน่าจะเป็นการเล่าภาค 2 ด้วยการแบ่งเป็น 2 ภาค หลังจาก ‘Avatar: The Way of Water’ พาผู้ชมแหวกว่ายกลายสายน้ำและรื่นรมย์กับพญาคานกันไปครึ่งค่อนเรื่องก่อนจะกลับมาแอ็คชันกันในครึ่งท้าย มาภาคนี้ หนังต้อนรับเหล่าคนดูด้วยฉากเชื่อมโยง ก่อนจะพาเข้าสู่ฉากบู๊กันเลย อย่างน้อยก็ทำให้หนังเดินไปข้างหน้า ตัวละครมีพัฒนาการ แม้บางส่วนจะใช้เวลายืดยาวในการเล่าไปบ้างก็ตาม
ภาคนี้ ตัวร้ายยังคงเป็นผู้พันควอริทช์ในร่างโคลนเช่นเคย ภาคก่อนเกือบตายแต่ดันรอดเพราะมีคนช่วยไว้ ภาคนี้เลยไปหาพันธมิตรใหม่เพื่อกลับมาไล่ล่าครอบครัวซัลลี่อีกครั้ง
เอาจริง ๆ พล็อตเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เช่นเคยแหละ เพียงแต่มันถูกเล่าผ่านงานภาพที่สวยเจิดเกินจินตนาไปมากเท่านั้นเอง บวกกับใช้ 3 มิติเข้ามาเสริมทำให้ประสบการณ์การรับชมมันดูสมจริง แม้ทุกอย่างจะถูกสรรค์สร้างจากเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้นก็ตาม
ภาคนี้ นอกจากได้พบกับอิกรานที่เราคุ้นเคยมาทุกภาค ได้พบกับโทลคุน, สกิมวิง และอิลู ที่มีมาในภาคทะเล ก็ยังได้เจอกับอะไรใหม่ๆ เมื่อกลุ่มตัวละครนำเดินทางไปกับวินด์เทรดเดอร์ซึ่งเป็นพวกพ่อค้าและเดินทางด้วยพาหนะที่คล้ายบอลลูนผ่านแรงบินของวินด์เรย์ ส่วนนาวีเผ่าธุลีที่มีถิ่นพำนักค่อนข้างแห้งแล้งจากภูเขาไฟระเบิดจนมีแต่ฝุ่น ก็ขี่แบนชีภูเขา และไนท์เรท ทำให้หนังภาคนี้ มีสัตว์หลายชนิดยิ่งกว่าทุกภาค
เช่นเดียวกับเรื่องราวการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทั้งในอากาศ และใต้น้ำ ทั้งเวลากลางวัน และภายใต้ความมืดยามเกิดสุริยุปราคา
เกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายหลากระหว่างการต่อสู้ อย่างที่เห็นในตัวอย่างก็จะกล่าวถึง การมนุษย์ธรรมดาสามารถหายใจได้ปกติบนดาวแพนดอร่าและไม่ต้องใช้หน้ากาก กับอีกส่วนที่มันต่อเนื่องมาจากภาคก่อนหน้า ตัวละครตัวหนึ่งที่เกิดมาพิเศษแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งเอื้อให้สามารถทำอะไรที่พาประหลาดใจได้นั่นเอง
นอกเหนือจากความโดดเด้งด้านงานภาพแล้ว หนังไม่ได้ดีเด่นในบทสักเท่าไหร่เลย บางตัวละครยังคงคิดและตัดสินใจเหมือนเดิม ๆ ราวกับไม่เคยมีพัฒนาการจนทำให้หนังไซไฟภาคต่อชุดนี้ ดูจะมีจุดเด่นในงานภาพแต่เพียงอย่างเดียว ขณะที่ความยาวก็เป็นอีกจุดที่กลายเป็นข้อเสียของหนัง แม้จะตื่นตาตื่นใจภายใต้แว่น 3 มิติ ทว่าความยาวกลับทำให้ค่อนข้างลำบากที่จะมีสมาธิอยู่กับหนัง บวกความสนุกตื่นเต้นที่อ่อนแรง ทำหนังเรื่องนี้พาง่วงไปได้อยู่หลายจุด ไม่ต้องห่วงเลยว่า สำหรับคนมีอายุ เขาจะสู้ไหวไหมยามต้องอยู่กับหนังทั้งเรื่อง
โดยสรุปแล้ว สิ่งใดที่หนังทำได้ก็ยังทำได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่หนังจะมีจุดอ่อน ก็ยังคงเป็นอยู่เช่นเคย
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
| ชื่อภาพยนตร์ | Avatar: Fire and Ash / อวตาร: อัคนีและธุลีดิน |
| กำกับ | James Cameron |
| เขียนบท | James Cameron, Rick Jaffa, Amanda Silver |
| แสดงนำ | Sam Worthington, Zoe Saldaña, Sigourney Weaver, Stephen Lang, Oona Chaplin, Kate Winslet, Cliff Curtis |
| แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, แฟนตาซี, ไซไฟ |
| เรท | PG-13 |
| ความยาว | 197 นาที |
| ปี | 2025 |
| สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
| เข้าฉายในไทย | 17 ธันวาคม 2025 |
| ผลิต/จัดจำหน่าย | 20th Century Studios, Lightstorm Entertainment, TSG Entertainment |
คะแนนรีวิวหนัง อวตาร: อัคนีและธุลีดิน
พล็อตและบท - 7
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.7
งานถ่ายภาพ โปรดักชั่นและเทคนิคพิเศษ - 10
7.8
Avatar: Fire and Ash
หลังจากภาคสอง เน้นความงดงามของผืนน้ำไปซ้ำครึ่งเรื่อง มาภาคนี้ที่ดูไปก็เหมือนเป็นอีกครึ่งของภาคสอง เล่าเรื่องต่อเนื่องมาแต่มีพาร์ทแอคชั่นปูทั่วทั้งเรื่องมากขึ้น แม้ตัวบทกับตัวละครที่ยังคงไร้พัฒนาการ คิดอ่านและกระทำแบบใดก็ยังคงคิดและทำไม่แตกต่างจากเดิม พระเอกของแฟรนไชส์อวตารจึงยังคงเป็นงานด้านการสร้างภาพ จินตนาการในการสร้างสรรค์โลกแห่งแพนดอร่า สัตว์ชนิดต่างๆ พร้อมเพิ่มชาวนาวีกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า เผ่าธุลี เข้ามา











