ไม่ค่อยได้หยิบซีรีส์จากสเปนมาเปิดดูและเขียนถึงกันสักเท่าไหร่ หนนี้ ต้องถึงคราวหยิบมาเขียนถึงสักที กับซีรีส์แนวลึกลับระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ อะไรแบบนี้ เป็นของชอบของผมเลย งั้นก็คงต้องถึงเวลาแนะนำซีรีส์ ‘The Last Night at Tremore Beach’ หรือชื่อไทย ‘คืนสุดท้ายที่เทรมอร์’ กันแล้วล่ะครับ
คิดเห็นเช่นไรกับซีรีส์เรื่องนี้?
เรื่องราวของนักแต่งเพลงประกอบหนังที่เจอเรื่องหนัก เลยหนีมาพักใจที่เทรมอร์ เมืองเล็กๆ ริมทะเล หวังจะหาความสุขสงบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจอีกครั้ง แต่ก็กลับเจอเหตุการณ์ประหลาดและน่ากลัว แถมมันเกิดขึ้นกับคนรอบตัวของเขา นักแต่งเพลงต้องแกะปริศนานี้ให้ออก เพื่อจะช่วยคนที่เขารักเอาไว้ให้ได้ เรื่องช่วงแรกอาจจะดูเหนือธรรมชาติ แต่เมื่อดูๆ ไป ก็จะพบว่า บทพาเราเขวไปได้เรื่อยเปื่อย แต่ก็ถือว่าวางโครงเอาไว้หนักแน่นทีเดียว
และด้วยความที่มันเล่าเรื่องโดยมีนักแต่งเพลงประกอบหนังเป็นตัวละครนำ มันจึงมักจะเต็มไปด้วยเพลงเพราะๆ ให้เราได้ฟังกัน
เรื่องย่อซีรีส์ ‘The Last Night at Tremore Beach’
อเล็กซ์ เด ลา ฟูเอนเต (Javier Rey จากซีรีส์ ‘Fariña’) นักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ที่หย่าร้างกับเมียหลังมีลูกด้วยกันสองคน ย้ายตัวเองมาหาที่สงบทำงานแต่งเพลงบวกพักใจในบ้านเช่าริมทะเลที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อ เทรมอร์ ตอนนี้ เขาเริ่มจะคบหากับ จูดี้ (Ana Polvorosa จากซีรีส์ ‘La Fortuna’) อดีตพยาบาลที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของกิจการโฮสเทล นอกจากนี้ อเล็กซ์ยังมีเพื่อนบ้านเป็นสองสามีภรรยานิสัยดีคู่หนึ่ง พวกเขาคือ เลโอ (Guillermo Toledo จากหนัง ‘Ferpect Crime’) และมาเรีย (Pilar Castro จากหนัง ‘Official Competition’) ที่มีน้ำใจมาก จนกลายเป็นความโชคดีที่อเล็กซ์ได้มาอยู่ที่นี่
แต่ทุกสิ่งกำลังแปรเปลี่ยน เมื่อคืนหนึ่ง เขาถูกฟ้าผ่าที่หน้าบ้านจนสลบไป และเมื่อขึ้นมาพร้อมกับรอยเส้นเลือดบนร่างกาย เขาก็พบว่า ตนเองกำลังเผชิญเข้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาดบางอย่าง มีบางเสียงบอกไม่ให้เขาไปดินเนอร์ที่บ้านหลังนั้น มีเสียงที่ห้ามไม่เขาออกไปจากบ้าน เขานึกไปถึงสิ่งที่แม่ของตนเคยประสบพบเจอและกลัวว่ากำลังจะเผชิญในสิ่งเดียวกัน เขาพบเห็นฆาตกรรม คนตาย แม่เขาบอกว่ามันเป็นนิมิต และเป็นสิ่งถ่ายทอดกันภายในตระกูล
แต่ทั้งหมดจะเป็นจริงหรือไม่ เหตุประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขามันคืออะไรกันแน่ เราคงต้องไปหาคำตอบด้วยกันในซีรีส์จากสเปนเรื่องนี้
รีวิวซีรีส์ ‘คืนสุดท้ายที่เทรมอร์’
งานที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Mikel Santiago ถ่ายทอดเรื่องราวของ อเล็กซ์ ผู้ที่เติบโตมาเป็นศิลปินนักเปียโน และกลายเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง คว้ารางวัลดังมามากมาย แต่เขาก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เลือกจะย้ายตัวเองมาอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเทรมอร์ ที่ๆ เขาคิดว่ามันเงียบสงบ และอาจสงบพอให้เขาได้มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เพลงใหม่ๆ ได้อีกครั้ง โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขาหวาดกลัวมาตลอดจะเกิดขึ้นที่นี่
บ้านที่เขาอยู่เป็นบ้านเช่าหลังเก่า ที่อยู่ริมผาของหาดเทรมอร์ ไม่ไกลกันนักเป็นบ้านอีกหลังของ เลโอ เพื่อนบ้านที่เป็นสามีของ มาเรีย ศิลปินจิตรกร โลกของเขาที่นี่ ไม่ได้กว้างใหญ่นัก ทุกอย่างดูราบรื่นและสงบสุขดี แถมตอนนี้ เขาได้พบเจอกับสาวคนใหม่ จูดี้ ที่มีกิจการโฮสเทลให้ดูแลอยู่ เธอกลายเป็นแสงสว่างครั้งใหม่ในชีวิตของเขา
อเล็กซ์ เคยแต่งงานมาแล้วแต่ต้องเลิกร้างกัน เขามีลูกสาวและลูกชายกับภรรยาเก่า และมีพ่อที่ตั้งรกรากอยู่ที่อีกเมืองหนึ่ง ทุกอย่างเกือบจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็กลับพบว่า สิ่งที่เขาหวาดกลัวมาตลอดกำลังเกิดขึ้น จากวันที่เขาก้าวออกจากบ้านแล้วได้เห็นภาพของจูดี้บอกว่า “อเล็กซ์ อย่าออกจากบ้านนะ!” และต่อมาเขาก็ถูกฟ้าผ่าแต่ไม่ตาย หากผลข้างเคียงทำให้มีรอยเส้นทางทั่วตัว ก่อนที่ภาพเหตุประหลาดจะเกิดขึ้นกับเขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งฝนปลา เหตุฆาตกรรม อะไรต่างๆ ที่เหมือนเขาฝันแต่ด้วยหลักฐานบางอย่าง มันดูจริงเกินจะเป็นภาพฝัน จนเขาคิดว่าตนกำลังมีอาการเหมือนกับที่แม่ตนเคยเป็น
เอาเข้าจริง มันก็อาจจะดูคล้ายกับซีรีส์บางเรื่อง ที่เปิดขึ้นมาด้วยไอเดียหนึ่ง ก่อนที่จะขยับขยายสร้างเรื่องให้กลายเป็นอีกแบบ แรกๆ มันดูเป็นซีรีส์แนวลึกลับเหนือธรรมชาติ ตัวละครมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตในแบบเสมือนจริง กับสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาจากแม่และอาจถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นลูก ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกอธิบายอีกแบบเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง
เรื่องราวในนั้นจะเกี่ยวพันกับชีวิตการเป็นนักดนตรีของอเล็กซ์ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ เต็มไปด้วยเพลงเพราะๆ ที่เกิดจากการบรรเลงเปียโน และบางส่วนก็จะเป็นเพลงคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นหูกันดี ขณะเดียวกัน เปียโนก็จะกลายเป็นเครื่องหมายของการผ่านจากโลกปัจจุบันไปสู่อีกเวลาหนึ่ง เปียโนจะถูกจิ้มในคีย์ๆ หนึ่ง แล้วเหตุประหลาดก็จะเริ่มขึ้นกับเขา
บทของมันพาเราสงสัยไปเรื่อยและก็พาให้เราพบว่าสิ่งที่คิดนั้นผิด สร้างคำอธิบายใหม่ๆ จนเราต้องคล้อยตาม คนดูคงจะเป็นเช่นกับอเล็กซ์ที่หลอนไปหลอนมา พวกเราจะเจอข้อมูลใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ในอนาคต แต่บางทีที่เป็นเหตุในอดีต แถมแต่ละตัวละครนำจะมีเรื่องราวของตนเองมาเล่า ก่อนที่ภาพจะสลับไปเล่าเรื่องของพวกเขาอย่างเต็มๆ จนเรียกได้ว่า เป็นเรื่องย่อยที่อยู่ภายใต้เรื่องใหญ่เรื่องเดียวกัน
แต่ละตอนของซีรีส์ ซึ่งมีกันทั้งหมด 8 ตอน เหมือนจะดูจบได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่ เพราะแต่ละตอนจะมีความยาว 1 ชั่วโมงเต็มเลยทีเดียวครับ ยิ่งดูไปก็ยิ่งมองเห็นว่า ความสงบสุขของเทรมอร์ ชักพาผู้คนจากต่างที่ต่างถิ่นที่ล้วนพบเจอกับสิ่งเลวร้าย สิ่งที่กลายเป็นแผลใจ ความเจ็บปวด หลงทาง ต่างๆ นานา ที่ชักพาให้พวกเขาหนีมาพักใจ คาดหวังชีวิตที่สุขสงบกว่าเดิม และอาจจะได้รู้ว่า มันไม่ได้สงบอย่างที่พวกเขาคิด
สิ่งที่ชื่นชอบนอกเหนือจากตัวบทและเพลงประกอบที่แสนไพเราะแล้ว ก็คือทัศนียภาพของโลเกชั่น พวกเขาถ่ายทำกันที่เมือง Puerto de Vega ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสเปน
8 ตอน กว่าจะดูจบก็ใช้เวลาไปหลายวันเหมือนกัน อาศัยค่อยๆ ดูไปวันละตอนสองตอน ไม่รีบไม่ร้อน เอาเท่าที่เวลาว่างมี ซึ่งก็พบว่า ซีรีส์มันเดินเรื่องได้น่าติดตามพอสมควร บางทีอาจจะเล่าเรื่องของตัวละครใดตัวละครหนึ่งนานไปหน่อย แต่มันก็ไม่เคยหลงทิศ มีอะไรให้เราอยากรู้ต่อได้ไม่หยุดหย่อน กลายเป็นว่า มันเป็นซีรีส์ลึกลับระทึกขวัญจากสเปนที่ไม่เลวเลยทีเดียว
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | The Last Night at Tremore Beach / คืนสุดท้ายที่เทรมอร์ / La última noche en Tremore Beach |
ผู้สร้าง | Oriol Paulo, Jordi Vallejo |
ผู้กำกับ | Oriol Paulo |
ผู้เขียนบท | Oriol Paulo, Lara Sendim, Jordi Vallejo, Mikel Santiago |
นักแสดง | Javier Rey, Ana Polvorosa, Guillermo Toledo, Pilar Castro, Carla Quílez, Jordi Catalán |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ระทึกขวัญ, ลึกลับ |
จำนวนตอน | ซีซัน 1: 8 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 25 ตุลาคม 2024 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Sospecha Films,Think Studio |
คะแนนรีวิวซีรีส์ คืนสุดท้ายที่เทรมอร์
พล็อตและบท - 8
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7.8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 8
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.3
7.9
The Last Night at Tremore Beach
เรื่องราวของนักแต่งเพลงประกอบหนังที่เจอเรื่องหนัก เลยหนีมาพักใจที่เทรมอร์ เมืองเล็กๆ ริมทะเล หวังจะหาความสุขสงบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจอีกครั้ง แต่ก็กลับเจอเหตุการณ์ประหลาดและน่ากลัว แถมมันเกิดขึ้นกับคนรอบตัวของเขา นักแต่งเพลงต้องแกะปริศนานี้ให้ออก เพื่อจะช่วยคนที่เขารักเอาไว้ให้ได้ เรื่องช่วงแรกอาจจะดูเหนือธรรมชาติ แต่เมื่อดูๆ ไป ก็จะพบว่า บทพาเราเขวไปได้เรื่อยเปื่อย แต่ก็ถือว่าวางโครงเอาไว้หนักแน่นทีเดียว และด้วยความที่มันเล่าเรื่องโดยมีนักแต่งเพลงประกอบหนังเป็นตัวละครนำ มันจึงมักจะเต็มไปด้วยเพลงเพราะๆ ให้เราได้ฟังกัน