รีวิวหนัง Final Destination Bloodlines ทายาทโกงตาย | ได้ทั้งโหดและฮา

หนังสยองขวัญบางเรื่องก็ประสบความสำเร็จจนมีการสร้างภาคต่อตามกันมา แต่แล้วก็ถึงเวลาขาลงจนหยุดสร้างกันไป ปล่อยให้เวลาผ่าน บ่มจนสุกงอมได้ที่ เจอไอเดียดีๆ ผุดขึ้นมาใหม่ จึงได้ปลุกมันขึ้นมาสร้างต่อ อย่างเช่นเรื่องนี้ หายไปเป็นสิบปีกว่าจะกลับมาในภาค 6 ‘Final Destination Bloodlines’ หรือชื่อไทย ‘ไฟนอล เดสติเนชั่น ทายาทโกงตาย’ กับอะไรที่โดนใจแฟนหนังเฟรนไชนส์นี้

คิดเห็นเช่นไรกับหนังโกงตายภาคนี้?

ราวกับหนังถูกกาลเวลาบ่มจนได้ที่ หนังรอจนหาพล็อตที่สร้างความสยดสยองครั้งใหม่ไม่ซ้ำเดิมได้จึงผลิตมันออกมา คราวนี้ย้อนไปไกลถึงเหตุการณ์ในอดีต แล้วมันยังส่งผลตามติดมาถึงลูกหลานรุ่นปัจจุบัน เก็บทุกอย่างที่จะได้ผลและผู้คนชอบกลับมาใช้อีกครั้ง ทั้งใส่ความตลกร้ายคล้ายเล่นล้อตัวเองเข้าไป กลายเป็นหนังที่ความตายรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก จึงไม่ปรานีและเล่นบทโหดขึ้นกว่าเดิม

คนดูเลยได้ทั้งฮาและหวาดเสียวไปกับการโกงและการเอาคืนของทุกตัวละคร

เรื่องย่อหนัง ‘Final Destination: Bloodlines’

ครั้งนี้ “ความตาย” ยังคงรู้สึกเสียหน้าอีกตามเคย มันกลับมาตามล่าคร่าชีวิตของคนที่รอดเงื้อมมือมันไปอีกครั้ง แต่ดูท่าจะหนักข้อยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนในครอบครัว

สเตฟานี่ เรเยส (Kaitlyn Santa Juana จากซีรีส์ ‘The Flash’) หญิงสาวนักศึกษาที่ต้องตื่นมาจากฝันร้ายที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเลือกจะมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อตามหาใครคนที่น่าจะรู้เรื่องทั้งหมด คนที่จะช่วยไขและทำลายวงจร ทั้งช่วยให้เธอและครอบครัวหลุดพ้นจากความตายอันน่าสยดสยองนี้ไป

ในวันที่คุณแม่ของเธอหวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างเริ่มกระจ่างมีสิ่งที่คุณยายบอกเป็นเรื่องจริง และก็คงต้องถึงเวลาที่ทั้งครอบครัวจะต้องช่วยเหลือกันเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ให้…มากที่สุด!

รีวิวหนัง ‘ไฟนอล เดสติเนชั่น ทายาทโกงตาย’

ภาคนี้ห่างจากภาคก่อนที่เข้าฉายในปี 2011 ไป 14 ปี กลับมาอีกที พร้อมกับพล็อตที่ก้าวไปไกลยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ “ความตาย” ไม่ได้ตามล่าเอาชีวิตของคนที่ควรตายแต่ดันไม่ตายเท่านั้น หากมันยังตามล่าไปยังทายาทของคนเหล่านั้นด้วย

กลวิธีการเล่าของหนังยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร หยิบเอาเหตุการณ์สยองครั้งสำคัญที่เป็นต้นสายปลายเหตุมาบอกเล่าก่อนเช่นเคย แต่ในมุมที่แตกต่างออกไป ส่วนหนึ่งก็คงเพราะหนังแต่ละภาคมันเล่าแบบเดิมกันมาจนคนเบื่อแล้ว เลยจำเป็นต้องหามุกใหม่

ครั้งนี้ คนที่เป็นต้นเหตุของการล่าคือคุณยายที่เคยช่วยเหลือผู้คนมากมายให้รอดชีวิตจากอุบัตเหตุของหอคอยสูงที่แสนทันสมัยในวันที่เธอยังเป็นสาวรุ่น คุณยายไอริส (Brec Bassinger จากหนัง ’47 Meters Down: Uncaged’) สมัยนั้นยังสวยและนัดเดตกับแฟนหนุ่มในวันเปิดตัว Sky View แต่ตอนนี้ใครๆ ก็บอกว่าเธอเป็นบ้า แยกตัวอยู่ลำพัง และเอ่ยปากบอก สเตฟานี่ เรเยส (Kaitlyn Santa Juana จากซีรีส์ ‘The Flash’) ผู้เป็นหลานสาวว่า “ความตาย” กำลังตามล่าพวกเขาอยู่ และมันจะไม่หยุดถ้ายังหลงเหลือใครที่เป็นเชื้อสายของคุณยายไอริส

ครั้งนี้ “ความตาย” ไม่ได้ตามล่าแค่คนรอดเท่านั้นแล้ว แต่มันจะตามล่าทายาทของคนรอดด้วย และดูเหมือนครั้ง “ความตาย” จะโหดเหี้ยมขึ้นบ้าง หลังถูกลูบคมมาหลายหน ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้คนดูได้สะใจกับความแปลกใหม่ที่เพิ่งได้เจอ

อ่านเพิ่มเติม: ย้อนเล่า เกิดอะไรขึ้นบ้างใน ‘Final Destination 1-5’

อีกสิ่งที่ทำให้ภาคนี้กลับได้ใจแฟนหนังเฟรนไชนส์นี้ก็คงเป็นการเล่นล้อตัวเองในแบบตลกร้าย เมื่อเขาเขียนบทให้ตัวละครในภาคนี้ล่วงรู้ไปซะทุกอย่าง ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรตรงไหน ส่งผลให้นอยด์หรือหวาดระแวงไปหมด และมันก็ทำให้คนที่ตามดูมาทุกภาครู้สึกบันเทิง บวกกับเพลงประกอบที่ตั้งใจเลือกเพลงใส่เข้ามา พวกเขาจะขำกลิ้งไม่หยุด ขณะที่ฉากหวาดเสียวก็ไปสุดเช่นกัน

บางส่วนของหนังหยิบมาจากภาคโน้นภาคนี้ พยายามผูกและเคลียร์ปม และบางทีก็ล้อเลียนตัวเองราวต้องการจะปั่นหัวผู้คน ประมาณว่า แกดูมาหมดแล้ว แกรู้ล่ะสิแต่ฉันไม่ให้แกคาดเดาได้ง่าย ๆ หรอก

Tagline: Death runs in the family

ในด้านความสยองขวัญของภาคนี้ ยังคงเต็มไปฉากหวาดเสียวและการตายแบบโหด ๆ บางหนก็เล่นกับจังหวะตุ้งแช่ให้คนดูตกใจ ทำเอาหลายคนทรงตัวไม่อยู่ บ้างก็ร้องลั่น บ้างเกร็งลุ้นกันสุดตัว เชื่อว่า ไม่ว่าคุณจะเคยดูมาแล้วกี่ภาค หรืออาจจะไม่เคยดูมาก่อนเลย ก็จะสนุกปนฮาไปกับหนังสยองขวัญปั่นประสาทเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเรื่อง

ยาวไปยันจบเลยทีเดียว!

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง