รีวิวหนัง The Godfather | มาสเตอร์พีซเจ้าพ่อฉบับ 4K Ultra HD

หนังบางเรื่องอยู่ในโลกของคนดูหนังมานานจนผ่านมาถึงตรงนี้ ได้แต่ตกใจว่า มันมีอายุยาวนานถึง 50 ปีแล้วเหรอเนี่ย เข้าขั้นคลาสิกไม่พอ ยังเป็นตำนานเล่าขานไม่หยุดหย่อน ก็หนังไตรภาคเจ้าพ่อ ‘The Godfather’ ยังไงเล่า และเพื่อเป็นการฉลองให้กับหนังระดับมาสเตอร์พีซ เขาจึงพิถีพิถันปรับเปลี่ยนให้เป็นระบบการฉายแบบ 4K Ultra HD และนำกลับมาฉายอีกครั้งในโรงหนังช่วงนี้นี่แหละ

จากฟิล์มจำนวนมากกว่า 300 กล่อง คัดเลือกกรั่นกรองเลือกภาพที่ดีที่สุด ใช้เวลามากกว่า 4,000 ชั่วโมงเพื่อซ่อมแซม และใช้เวลามากกว่า 1,000 ชั่วโมง ในการปรับสีสัน เพื่อเป็นเกียรติแก่หนังคลาสสิกที่ดัดแปลงจากปลายปากกาของ Mario Puzo ที่เขียนบทโดย Mario Puzo กำกับโดย Francis Ford Coppola และกำกับภาพโดย Gordon Willis/กอร์ดอน วิลลิส

แล้วก็ได้เวลามานั่งชมหนังภาคแรกในตำนานที่มีความยาวเฉียด 3 ชั่วโมงกันอีกครั้ง

เรื่องย่อหนัง The Godfather

หนังจะพาเราไปรู้จักกับเจ้าพ่อแห่งเมืองนิวยอร์กที่มีชื่อว่า ดอน วีโต้ คอร์ลีโอเน่ (Marlon Brando จากหนังเรื่อง ‘The Score’, ‘Apocalypse Now’ และมินิซีรีส์ ‘The Godfather Saga’ ) ในวันนั้น เป็นวันงานแต่งของคอนนี่ (Talia Shire จากหนังเรื่อง ‘Rocky’) ลูกสาว งานจัดใหญ่โต มีแขกเหรื่อ บริวาร และแน่นอนลูกๆ ที่มากันพร้อมหน้า แต่ก็อดฟาเธอร์คนนี้ก็ดูจะไม่เคยเว้นว่างกับการเปิดห้องต้อนรับเพื่อนฝูงที่แวะเวียนมาทักทายบ้าง ขอความช่วยเหลือบ้าง อะไรก็ว่าไป

ในบรรดาลูกๆ ของเขา ดูเหมือนดอนคนนี้จะรักไมเคิล (Al Pacino จากหนังเรื่อง ‘House of Gucci’, ‘The Irishman’ และ ‘Danny Collins’) มากที่สุด ชายผู้เป็นวีรบุรุษสงครามที่คบหาอยู่กับสาวสวยอย่าง เคย์ อดัมส์ (Diane Keaton จากหนังเรื่อง ‘Love the Coopers’, ‘Morning Glory’ และ ‘Something’s Gotta Give’) เป็นลูกชายที่พ่อพยายามกันเขาออกจากเส้นทางเจ้าพ่อให้มากที่สุด ไม่เคยยอมให้แตะต้องกิจการของครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

แต่แล้ววันหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็บังเกิดขึ้นกับตระกูลนี้ เมื่อดอน วีโต้ ถูกลอบฆ่า แต่เขารอดตาย บาดเจ็บหนัก รักษาตัวอยู่เป็นนาน ระหว่างนั้น ก็เป็นพี่น้องตระกูลคอร์ลีโอเน่ที่ต้องช่วยการประคับประคองสถานะความยิ่งใหญ่ไปให้ตลอดรอดฝั่ง และเป็นไมเคิลที่ก่อเหตุครั้งใหญ่ก่อนหลบหนีไปไกล รอวันหวนกลับคืน

รีวิวหนัง The Godfather

จริงๆ แล้วทั้งสามภาครวมกัน มันคือหนังที่เล่าเรื่องราวการไต่เต้าและการล่มสลายของตระกูลคอร์ลีโอเน่ หนังที่เริ่มเรื่องด้วยฉากงานแต่งงานของลูกสาว เป็นฉากที่ค่อนข้างยาวที่ทำหน้าที่เพื่อแนะนำตัวละครสำคัญในคฤหาสน์หลังนี้ให้ผู้ชมได้รู้จักกับลูกๆ ทั้งสี่ของดอน วีโต้ คอร์ลีโอเน่ และมองเห็นบุคลิกของก็อดฟาเธอร์ ว่าในเวลานั้น เขาทรงอำนาจมากมายเพียงใด

บุคลิกของเขานั้น จะมีความเมตตามอบให้แก่ผู้ใดให้ความเคารพ แต่จะโหดเหี้ยมตอบถ้าเจอคนที่มิใช่

ในภาคนี้ เขาจะเล่าถึงช่วงรุ่งเรืองของตระกูลนี้ที่กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง หลังแก๊งคู่แข่งต้องการขายยาเสพติดและต้องการให้ดอนทำในสิ่งเดียวกัน และเมื่อเขาไม่ยินยอม ความรุนแรงจึงเป็นสิ่งที่หลีกไม่พ้น ทำให้ไมเคิลต้องทำสิ่งที่ขัดใจที่สุด ก่อนจะเกิดผลหลายอย่างตามมา

ซึ่งตรงนี้ ไม่ว่าใครก็ใคร ก็ย่อมจะมองเห็นว่า Marlon Brando สวมบทบาทเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการใช้ลีลา น้ำเสียงและแววตา จนกลายเป็นว่า ถ้าพูดถึงบทเจ้าพ่อ มาร์ลอน แบรนโด คือใบหน้าแรกที่ผุดขึ้นหัวเลยทีเดียว

ส่วนตัวละครเด่นอีกตัวก็คือ ไมเคิล ที่สำคัญกับเรื่องราวไม่แพ้คนพ่อเลย เขาคือตัวละครที่มีพัฒนาการสูงมาก และ Al Pacino ก็สวมบทบาทนี้ไว้อย่างน่าทึ่ง นอกเหนือจากความหล่อที่มีอยู่เต็มอัตรา ความสามารถยังเต็มเปี่ยมอีกด้วย

อาจจะดูว่าตระกูลมาเฟียนี่คือสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ซึ่งมันก็ถูกแหละ ผู้ชายในตระกูลนี้กีดกันผู้หญิงไม่ให้เข้ามายุ่มย่าม ทุกการตัดสินใจเกิดจากการพูดคุยกันในหมู่ผู้ชายเท่านั้น ความรุนแรง การแก้แค้นก็เกิดแต่กับเหล่าผู้ชายทำกันเอง แต่ก็แอบมีบ้างเหมือนกันนะที่เห็นว่าผู้หญิงก็ถูกสามีทำร้าย จะว่าไป มันก็เป็นโลกในหนังอะน้าาา

‘เดอะ ก็อดฟาเธอร์’ เป็นหนังที่ฉายในปี 1972 เข้าชิงออสการ์ถึง 11 รางวัล และคว้ามาได้ 3 รางวัล อันได้แก่ Best Picture, Best Actor in a Leading Role และ Best Writing, Screenplay Based on Material from Another Medium จัดเป็นหนังคลาสสิกระดับมาสเตอร์พีชที่สามารถดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หลายรอบ เป็นไตรภาคระดับตำนานอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อปรับระบบการฉายเป็นแบบ 4K Ultra HD เพื่อนำขึ้นจอดิจิตอลแบบนี้…

ไม่ว่าจะเกิดทันหรือเคยดูมาก่อนหรือไม่ ยังไงก็คงต้องไปดูสักหน่อยแล้วล่ะครับ

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง