บางที เราก็พบว่า หนังที่สร้างจากเรื่องจริงอาจไม่สนุกเท่ากับหนังที่สร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็เป็นความจริงนะบางที แต่บางทีก็พบว่า หนังบางเรื่องก็พยายามจะเป็นให้ทั้งสองอย่าง แม้ว่าจริงๆ แล้วจะนำความจริงเพียงผิวๆ มาสร้างเป็นเรื่องราวในหนังก็เถอะ ทั้งนี้ก็เพราะด้วยความเป็นหนัง มันจึงมีส่วนหนึ่งที่คิดถึงผู้ชมว่าพวกเขาจะเอนจอยไปกับหนังได้ไหม วันนี้ ผมไปเจออีกเรื่องหนึ่งครับที่ทำอะไรแบบนี้ได้ เรื่องนั้นคือ ‘Danny Collins’ ครับผม
จากผลการการเขียนบทของ Dan Fogelman คนเขียนบทของหนังอย่าง ‘Crazy, Stupid, Love.’, ‘The Guilt Trip’ และ ‘Last Vegas’ และเขาก็ยังเป็นผู้กำกับของหนังเรื่องนี้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นงานกำกับหนังชิ้นแรกของเขาเลยทีเดียว
เรื่องราวของ แดนนี่ คอลลินส์ (Al Pacino/อัล ปาชิโน) ศิลปินระดับร็อคสตาร์ที่เคยโด่งดังในอดีต แต่ปัจจุบันเขาแก่หง่อมแล้วล่ะ แถมยังคงหากินกับการตระเวนทัวร์เล่นคอนเสิร์ตทั่วโลกเก็บเงินเก็บทองใช้ชีวิตอย่างหรูหราน่าอิจฉาได้จนตาย แต่ดูเหมือนเขาจะเริ่มไม่ไหวกับชีวิตแบบนั้นแล้ว จู่ๆ เขาก็แพ็คกระเป๋าออกไปพักในโรงแรมอย่างไม่มีกำหนดออก ด้วยเหตุผลที่เขาบอกกับตัวเองหรือกับใครๆ ว่า
“ฉันอยากจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”
ชีวิตที่หรูหรายังคงไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย เมื่อที่ที่เขาไปอยู่ยังคงเป็นโรงแรมฮิลตัน ณ นิวเจอร์ซี่ แต่จุดมุ่งหมายนั้นสิที่สำคัญกว่า เขาตั้งใจจะไปอยู่ใกล้ๆ กับลูกชายที่เขาไม่เคยพบหน้า ลูกชายที่มีภรรยาผู้กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง และเธอก็ไม่ได้ต้อนรับเขาเช่นเดียวกับสามีของเธอ สิ่งเดียวที่เขาอยากจะทำก็คือ “การไถ่บาป”
แรกๆ นั้น เราก็ไม่รู้นักว่ามันคืออะไร แต่หนังก็ค่อยๆ เฉลยเรื่องพวกนั้นกับเรา
แม้ฉากหน้าเขาจะเป็นคนโด่งดังแค่ไหน แต่หากไม่ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว ชีวิตก็ดูเหมือนล่องลอยและไร้ค่า เขาพยายามทุ่มเททุกอย่างและเปลี่ยนทุกสิ่งที่เป็นความเลวร้ายในตัวเขาเอง เลิกมึนเมาสุรา เลิกเสพยาโคเคน และตั้งใจจะกลับมาแต่งเพลงใหม่อีกครั้งหลังกลายเป็นหุ่นกระบอกอยู่เสียนาน
อุปสรรคที่เขาต้องก้าวพ้นผ่านจึงมีทั้งนอกและในตัวเขาเอง ความพยายามที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ง่ายในเมื่อเขามีเงินเพียงพออยู่แล้ว แต่มันก็หาได้ช่วยให้เขาชดใช้บางสิ่งที่ผิดพลาดไปได้ง่ายดายนัก ‘Danny Collins’ คงไม่ใช่หนังชีวประวัติอะไรสักเท่าไหร่
หากแต่เป็นหนังดราม่าของพ่อผู้อยากไถ่บาปที่ติดในใจมานานนั่นเอง
หนึ่งในเหตุผลที่เขาลุกขึ้นมาเพื่อจะเปลี่ยนแปลง ก็คงจะเป็นจดหมายที่เขาควรจะได้รับเมื่อนานมาแล้ว มันคือจดหมายจาก จอห์น เลนนอน ที่เขียนถึงเขา และถ้าเขาได้อ่านมันในวันนั้น ชีวิตวันนี้มันอาจแตกต่างไปมากมายแล้วก็ได้ แต่เมื่ออดีตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ หนทางที่เขาควรจะทำก็คือการเปลี่ยนที่ปัจจุบัน แม้ว่ามันจะดูช้าไปหน่อยแต่มันก็ยังไม่สายเกินไป
หนังส่งเสริมกำลังให้กับคนที่พลาดพลั้งไปได้ดี ตรงที่จะแก้ไขวันนี้ก็ยังไม่สาย
เมื่อรวมกับที่หนังสร้างอารมณ์ขันให้กับผู้ชมได้ทุกครั้งที่ต้องการ กลายเป็นหนังดราม่าที่อารมณ์ดีจนกลายเป็นหนังฟีลกู้ดสำหรับทุกคน ผสมผสานกับบทเพลงสไตล์ร็อครุ่นเก๋า และบทเพลงคุ้นหูจาก จอห์น เลนนอน ไม่ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นหนังที่สร้างความอินและความสุขให้กับผมแค่ไหน
ยิ่งเมื่อได้พบว่า พนักงานสาวฝึกหัดคนหนึ่งในโรงแรมฮิลตันเป็น Melissa Benoist สาวน้อยผู้สวมบทบาทในซีรีส์ ‘Supergirl’ ก็ยิ่งรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ช่างมีส่วนผสมที่พอดีลงตัวอย่างมากมาย
แดนนี่ คอลลินส์ มีทั้งความทะเล้นฮา เล่นมุกเข้าขากันได้ดีระหว่างเขากับหัวหน้าฝ่ายบริการของโรงแรมอย่าง แมรี่ ซินแคลร์ (Annette Bening) ขณะที่บทบาทภรรยาของลูกชายที่ตกเป็นของ Jennifer Garner ก็แทบจะทำให้เราต้องร่ำไห้ตาม แม้จะมีฉากดราม่าให้เราได้อิน แต่ก็พบว่ามันก็ไม่ได้ขยี้มากนัก เลือกจะทำเพียงแตะๆ แล้วปล่อย ไม่เลือกจะให้เราฟูมฟายเสียน้ำตาจนผ้าเช็ดหน้าเอาไม่อยู่ ดูแล้วคุณอาจมีพลังและความหวังขึ้นมาได้ …
เปลี่ยนบางสิ่งที่เคยพลาด เพื่อไม่ต้องอยู่กับความปวดร้ายไปจนวันตาย
ชื่อภาพยนตร์: Danny Collins / แดนนี่ คอลลินส์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Dan Fogelman
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Dan Fogelman (screenplay)
นักแสดงนำ: Al Pacino, Annette Bening, Jennifer Garner, Bobby Cannavale, Christopher Plummer, Katarina Cas, Giselle Eisenberg, Melissa Benoist
ความยาว: 106 นาที
แนว/ประเภท: Comedy, Drama, Music
อัตราส่วนภาพ:
เรท: ไทย/ , MPAA/R
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
ทุนสร้าง: $10,000,000 (โดยประมาณ)
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 9 กรกฎาคม 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Big Indie Pictures, ShivHans Pictures, Mongkol Major
แดนนี่ คอลลินส์
Danny Collins - 9
9
Danny Collins
แดนนี่ คอลลินส์ มีทั้งความทะเล้นฮา เล่นมุกเข้าขากันได้ดีระหว่างเขากับหัวหน้าฝ่ายบริการของโรงแรมอย่าง แมรี่ ซินแคลร์ (Annette Bening) ขณะที่บทบาทภรรยาของลูกชายที่ตกเป็นของ Jennifer Garner ก็แทบจะทำให้เราต้องร่ำไห้ตาม แม้จะมีฉากดราม่าให้เราได้อิน แต่ก็พบว่ามันก็ไม่ได้ขยี้มากนัก เลือกจะทำเพียงแตะๆ แล้วปล่อย ไม่เลือกจะให้เราฟูมฟายเสียน้ำตาจนผ้าเช็ดหน้าเอาไม่อยู่ ดูแล้วคุณอาจมีพลังและความหวังขึ้นมาได้
1 คอมเมนต์