รีวิวซีรีส์ Goodbye Earth ถึงเวลาต้องลาโลก | ดาวเคราะห์น้อยชนโลก ไซไฟแบบใดห์

ซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ดัดแปลงสร้างจากนิยายของนักเขียนชาวญี่ปุ่น ที่บอกเล่าถึงโลกในช่วงเวลาวิกฤต เมื่อมนุษย์รับรู้ข้อมูลว่าอีกไม่กี่วัน ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งเข้าชนโลกใกล้ ๆ กับคาบสมุทรเกาหลี ‘Goodbye Earth’ หรือชื่อไทย ‘ถึงเวลาต้องลาโลก’ เรื่องราวของมันค่อนข้างเน้นดราม่า เพื่อบอกว่า ชาวเกาหลีทั้งหลายกำลังรับมือกับเรื่องดังกล่าวยังไง

ความเห็นส่วนตัวของนายแพท

ซีรีส์เกาหลีที่ดัดแปลงจากนิยายญี่ปุ่น เล่าเรื่องของเกาหลีในช่วงเวลาระส่ำ เมื่อโลกรับรู้การมาของดาวเคราะห์น้อยที่ใกล้จะพุ่งชนโลกในอีก 200 วันและมันจะตกลงเฉียดคาบสมุทรเกาหลี ทำให้มีผู้คนแห่กันหนีออกนอกประเทศ เหลือไว้เพียงกลุ่มที่กำลังพยายามเฮือกสุดท้ายเพื่อจะหนี กับกลุ่มที่ไม่อาจไปไหนได้ บทของซีรีส์เล่าได้ไร้ความน่าสนใจตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวละครมากล้นจนจำกันไม่หวาดไม่ไหว เดินไปหลายตอนกว่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ยังไม่มีอะไรชวนให้ตื่นเต้น

สิ่งเดียวที่จะทำให้คนอดทนดูต่อก็เหลือเพียงความอยากรู้ว่า ตกลงเรื่องดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกเนี่ย มันเป็นจริงมั้ย…เท่านั้นเลย

เรื่องย่อซีรีส์ ‘Goodbye Earth’

มันจะเกิดขึ้นในปีหน้า 2025 เมื่อมนุษย์โลกพบว่าในอีก 200 วันข้างหน้า ดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งจะพุ่งเข้าชนโลก ส่งผลให้ทั้งโลกกำลังสับสนวุ่นวาย โดยเฉพาะที่เกาหลี เพราะจุดตกจากการคำนวณนั้นบ่งบอกว่า มันจะตกกระแทกดาวโลกตรงคาบสมุทรเกาหลีนั่นเอง

จินเซคยอง (Ahn Eun Jin/อันอึนจิน จากซีรีส์ ‘The Good Bad Mother’) คุณครูในโรงเรียนมัธยมต้นในเมืองอุงชอน หลังได้รู้ข่าวนี้ เธอก็ตัดสินใจลาออกแล้วหันมาทำงานเป็นอาสาสมัครดูแลเด็ก ๆ เธอพยายามเต็มที่เพื่อที่จะช่วยชีวิตพวกเด็ก ๆ ไว้ ขณะที่ ฮายุนซัง (Yoo Ah In/ยูอาอิน จากหนังเรื่อง ‘#Alive’) แฟนหนุ่มของเธอ ทำงานเป็นนักวิจัยอบู่ในสถาบันวิจัยไบโอเทคในสหรัฐ เขารีบบินกลับเกาหลีทันทีที่รู้ข่าวดาวเคราะห์น้อยโหม่งโลก

ท่ามกลางความวุ่นวาย ในเกาหลี เกิดทั้งการจลาจลและสงครามกลางเมือง หลังบาทหลวงหนีหายไป อูซองแจ (Jeon Sung Woo/จอนซองอู จากซีรีส์ ‘The First Responders 2’) ผู้ช่วยบาทหลวงในโบสถ์คาทอลิกจึงรับหน้าที่ดูแลเหล่าสาวกในโบสถ์แทน อีกด้านหนึ่ง คังอินอา (Kim Yoon Hye/คิมยุนฮเย จากซีรีส์ ‘Sh**ting Stars’) ก็เป็นผู้กองอยู่ในกองกำลังสนับสนุน เธอต้องวิ่งวุ่นไปทั่วเมืองเพื่อแจกจ่ายเสบียงและรักษาความปลอดภัย

อะไรจะเกิดขึ้นก่อนที่จะถึงวันนั้น คงต้องมาลองดูกันแล้วล่ะ

รีวิวซีรีส์ ‘ถึงเวลาต้องลาโลก’

ซีรีส์ที่หยิบมาจากงานของนักเขียนชาวญี่ปุ่น ปรับเปลี่ยนมาเล่าเรื่องในเมืองอุงชอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้บริบทว่า โลกรับรู้ถึงการมาเยือนของดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ที่เส้นทางโคจรของมันนั้นพุ่งเข้าหาโลก และหลังจากคำนวณแล้ว ดาวเคราะห์น้อยน่าจะตกกระแทกโลกเฉียดคาบสมุทรเกาหลี และมนุษย์เหลือเวลาอีกเพียง 200 วันในการรับมือ แน่นอนว่า คนเกาหลีคงไม่รอดแน่ถ้ายังอยู่ตรงนั้น รวมไปถึงประเทศในแถบเอเชียตะวันออกทั้งหมดด้วย ทำให้มีความคิดจะอพยพย้ายประเทศกัน

ซึ่งมันก็มีปัญหาติดตามมา บางคนที่ร่ำรวย มีอำนาจ มีปัญญาย้ายไปประเทศอื่นได้ (ก็ไม่มีใครรู้หรอกนะ ว่าย้ายไปแล้วมันจะหลีกเลี่ยงความตายได้จริงๆ หรือเปล่า) แต่ก็ยังบางคนที่จำเป็นต้องอยู่ต่อในที่เดิม ทำให้เกาหลีในซีรีส์เรื่องนี้อยู่ท่ามกลางความโกลาหล มีทั้งความขัดแย้งทางการทหาร มีเรื่องกบฏ มีเรื่องสงครามกลางเมือง มีนักโทษแหกคุก เรียกได้ว่า สับสนวุ่นวายเป็นอันมาก และซีรีส์เรื่องนี้ก็เล่าถึงคนกลุ่มถัดมาที่กำลังกระเสือกกระสนหาทางในการออกไปจากเกาหลี

หนึ่งในนั้น คือ จองซูกึน (Park Hyuk Kwon/พัคฮยอดควอน) ยูทูบเบอร์ล้านซับที่กำลังพยายามเต็มที่เพื่อจะได้หนีตายออกไปนอกประเทศ

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนบางพวกที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ มองว่าเป็นการหลอกลวง และพยายามชักจูงผู้คนด้วยการโฆษณาและชักชวนคนมาเข้าร่วมในลักษณะของลัทธิความเชื่อที่พูดถึงความเป็นอมตะ ทำให้ซีรีส์ที่นายแพทมองอย่างฉงนว่านี่มันเป็นโลกเบียวที่มาอยู่ในซีรีส์เกาหลีใช่ไหม

ถ้าพูดถึงตัวเอกของเรื่องก็จะเป็นหนุ่มสาว 4 คน ได้แก่ ครูจิน – จินเซคยอง ที่กลายเป็นอาสาสมัครผู้รักเด็ก, ฮายุนซัง แฟนหนุ่มนักวิจัยที่บินกลับเกาหลีมาหาครูจิน, อูซองแจ บาทหลวงไร้ประสบการณ์ที่จำเป็นต้องทำหน้าที่แทนหัวหน้าบาทหลวงแพคที่หายตัวไป และคนสุดท้าย ก็คือ ผู้กองคัง – คังอินอา ทหารหญิงพยายามทำในสิ่งที่ตนเชื่อว่าถูกต้องแม้บางครั้งจะต้องทำไปโดยพลการก็ตาม นอกจากนี้ ก็ยังมีเด็ก ๆ ที่ครูจินรักและช่วยเหลือมาโดยตลอด รวมไปถึงพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น

บทของซีรีส์พยายามเล่าถึงโลกที่กำลังถูกทิ้ง เพราะผู้คนกำลังสนใจแต่จะหนีไป ทำให้ส่วนเสี้ยวที่เหลือมีแค่เพียง กำลังทหารที่ดูแลการปันส่วนอาหารที่ร่อยหรอลงทุกวัน โบสถ์คริสต์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนแต่ก็อ่อนแอลงไปมาหลังหัวหน้าบาทหลวงหายไป ที่เหลือก็มีแต่อาชญากรที่หนีออกมาจากคุกและพวกที่ล่อลวงเด็ก ๆ ไปค้าประเวนี อะไรแบบนี้เป็นต้น

แต่เรื่องราวก็เดินไปอย่างกระท่อนกระแท่น สะเปะสะปะ และไร้ความน่าสนใจ จนน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนดูมากมายเลือกจะไม่ไปต่อ ขณะที่ผมกำลังอดทนรอดูว่าจะมีอะไรน่าสนใจให้พบเจอบ้าง แต่ก็พบว่า หายากจนแทบไม่มี ซีรีส์เป็นเรื่องเล่าที่สลับวนไประหว่าง เรื่องทางศาสนา เรื่องทางทหาร สักพักก็หันไปพูดเรื่องศูนย์ฝึกอบอรมเยาวชน พื้นที่ที่พ่อแม่ทุ่มทุนเพื่อหวังให้ครอบครัวได้ออกไปจากเกาหลี น่าเศร้าเหมือนกันที่ซีรีส์ไม่ทำให้เราเกาะติดได้กับอะไรสักอย่าง

สิ่งหนึ่งที่พบเจอก็คือ ตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้มันเยอะเกินไป เรื่องราวจึงถูกดึงสลับเล่าจนผู้ชมเริ่มเหนื่อยกับการติดตาม หลายฉากก็โผล่มาแล้วก็ไป กว่าจะรู้ว่าต้องการเล่าอะไรก็ต้องรอไปสักพัก ซึ่งถ้าแต่ละตอนเลือกเล่าเจาะเฉพาะบางตัวละคร ก็น่าจะทำให้ติดตามได้ง่ายกว่านี้มาก และเมื่อเขาเดินเรื่องได้ไม่น่าสนใจ ก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกต้องอดทนในการดูต่อ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือ เหตุดาวเคราะหืน้อยพุ่งชนโลกในอีกไม่กี่วันนั้นล่ะ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ซึ่งบทก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้สักที ยิ่งมันเล่าเรื่องลัทธิบ้าบอที่พร่ำบอกว่าเรื่องโลกแตก บอกว่าเหตุดาวเคราะห์น้อยชนโลกเป็นเรื่องหลอกตา มันยิ่งทำให้ความน่าสนใจมันลดน้อยลงไปอีก

ในอีกด้าน มันก็เล่าไปถึงศาสนาและความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับการบริจาค ซึ่งการบริจาคก็เกี่ยวพันกับโอกาสในการหนีออกนอกประเทศ แต่ว่าจะถึงตรงนี้ ซีรีส์ก็ใช้เวลาเล่าไปหลายตอน

ถ้าใช้เครื่องจับความร้อนเพื่อบ่งบอกความน่าสนใจของซีรีส์ มันคงเย็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะเริ่มจับแล้วรู้สึกอุ่นในช่วงตอนที่ 6-8 จากนั้นก็กลับไปเย็นลงอีกครั้ง ยิ่งตอนท้าย ๆ เหมือนไม่เหลืออะไรให้น่าสนใจเลย มีเพียงความอยากรู้เท่านั้นว่า ซีรีส์จะจบลงอย่างไร ดาวเคราะห์ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องแหกตาหรือไม่ เท่านั้นเลย

ถ้าจะบอกว่า ‘Goodbye Earth’ เป็นซีรีส์ที่น่าสนใจหรือไม่ คงต้องตอบได้ว่า ไม่น่าสนใจเลย เรื่องเล่าอย่างสะเปะสะปะ ไม่มีอะไรน่าติดตาม ไม่มีอะไรน่าระทึกใจ มีแต่ดราม่าที่น่าเบื่อ มันใช้เหตุดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลกในไม่กี่วันข้างหน้าเท่านั้นที่เป็นไซไฟ นอกนั้น ไม่มีตรงไหนอีกเลยสักนิดเดียว

รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์