รีวิวหนัง It’s a Summer Film! | หัวใจดวงนี้มีแต่รัก…หนัง

หนึ่งในหนังในเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2022 ที่หมายตาไว้ว่าจะไปดู ก็คือเรื่องนี้ ‘It’s a Summer Film!‘ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปดู ที่สุดก็ต้องเลือกหนทางออนไลน์ที่ทางเทศกาลเปิดดูฟรี กับเรื่องราวของกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่คลั่งไคล้การทำหนังที่เกิดขึ้นในหน้าร้อน จากผลงานการกำกับของ Soshi Masumoto คนที่มีผลงานยังไม่มาก แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับเขา

กลุ่มเด็กวัยมัธยมที่แต่ละคนต่างก็มีชื่ออันแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าเอาไว้เรียกกันในกลุ่มแต่วันหนึ่ง มันกลับกลายเป็นชื่อจริง หรือจะด้วยเหตุผลอื่น พวกเขาก็เหมือนวัยรุ่นที่ชื่นชอบการดูหนังและมีแพชชันต้องการจะสร้างหนังของตนเอง เล่าเรื่องที่ออกมาความคิดในแบบฉบับของตนเอง เป็นหนังที่ดูเล็กแต่ก็ดูสนุกได้ไม่แพ้หนังใหญ่

จะเสียดายอยู่หน่อยก็ตรงที่ดูบนเล็กๆ ในโน้ตบุ๊กของเราเองเนี่ยแหละ

เรื่องย่อหนัง ‘It’s a Summer Film!’

เท้าเปล่า (Marika Ito) วัยรุ่นมัธยมที่มีความใฝ่ฝันอยากทำหนังและคลั่งไคล้ในหนังซามูไรย้อนยุคมาก เธออยู่ในชมรมภาพยนตร์ที่กำลังถ่ายทำหนังเพื่อเข้าฉายในงานประจำปีของโรงเรียนอยู่ แต่มันก็แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางของเธอเลย

เมื่อได้เจอหน้ากลุ่มเพื่อนสนิทในรถบ้านคันนั้น ทั้ง บลูฮาวาย (Kirara Inori) สาวนักเคนโต้ และโฟมว่ายน้ำ (Yumi Kawai) สาวผู้ชอบดาราศาสตร์ที่บอกว่าชื่นชอบหนังซามูไรเหมือนๆ กัน จึงเริ่มจุดประกายไอเดียในการพัฒนาบทของหนัง ‘ซามูไรวัยละอ่อน’ ที่เขียนทิ้งไว้ให้กลายมาเป็นความจริง เท้าเปล่าคิดการใหญ่ จะสร้างหนังย้อนยุคตามแบบที่เธอชอบเพื่อมาโค่นล้มหนังรักเลี่ยนๆ นั่นซะ

แล้วเธอก็เริ่มกระบวนการ หานักแสดงที่ได้รินทาโร่ (Daichi Kaneko) มารับบทนำ หาทีมงานฝ่ายเสียง ฝ่ายแสง โดยมีบลูฮาวายเป็นตากล้องถ่ายทำ รวมทั้งหาเงินทุน เมื่อได้ทุกอย่างพร้อม การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นโดยไม่ทันคาดคิดว่าจะเกิดบางอย่างที่ไม่คาดฝัน

รีวิวหนัง ‘Summer film ni notte’

หนังเรื่องนี้มีฉายในเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2565 [Japanese Film Festival 2022] ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ก่อน ในช่วง 4-13 กุมภาพันธ์ ที่โรงภาพยนตร์ House Samyan จากนั้นจึงย้ายไปจัดที่เชียงใหม่ 25-27 กุมภาพันธ์ ที่ SFX Cinema ห้าง MAYA ขณะเดียวกันก็จัดออนไลน์ในช่วง 14-27 กุมภาพันธ์ 2022 ล้อกันไปด้วย ฉะนั้น ถ้าใครพลาดได้ชมในโรง ก็ยังพอมีโอกาสได้ชมออนไลน์อยู่ [และก็รู้มาว่า เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงอีกครั้งด้วยครับ]

มันเป็นเรื่องราวของเหล่าวัยรุ่นมัธยมที่มีความคลั่งไคล้ในการดูและทำหนัง เรื่องมันจึงอยู่ในวงแคบๆ เพียงแค่ในชมรมภาพยนตร์ของโรงเรียนหนึ่งเท่านั้น ที่โรงเรียนนี้กำลังจะมีงานประจำปี ชมรมนี้จึงคิดสร้างหนังขึ้นมา เป็นหนังสไตล์รักวัยรุ่นอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ปรากฏว่า เท้าเปล่า ตัวเอกของเรา เธอไม่ได้ชอบแนวทางนี้ สิ่งที่เธอชื่นชอบมากคือ หนังย้อนยุคแนวๆ ซามูไร ในรถบ้านแหล่งมั่วสุมของสามเพื่อนสนิทก็จะมีทั้งวิดีโอและโปสเตอร์ของหนังพวกนั้นแปะอยู่ ทั้งยังมีบทหนังที่เขียนไว้ไม่เสร็จ ชื่อเรื่องว่า ‘ซามูไรวัยละอ่อน’ วางอยู่ด้วย

เท้าเปล่าที่ได้รับแรงผลักจากเพื่อนอย่างบลูฮาวายและโฟมว่ายน้ำ ทำให้คิดสร้างหนังขึ้นมาจริงๆ

มันดูเป็นหนังบ้านๆ ที่ชวนยิ้มแก้มปริ เพราะมันเป็นการแสดงออกคือความรักหนังแบบซื่อตรงและจริงใจอย่างที่สุด เหมือนการเป็นแฟนพันธุ์แท้ของอะไรสักอย่างแล้วทำมันออกมา ช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาวที่มีความรัก ความฝัน ความพลุ่งพล่านี่พวกเขาใช้เพื่อแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปธรรม และเมื่อมันคือหนังเรื่องแรกของพวกเขา ทุกอย่างจึงดูสดใหม่และเต็มไปด้วยพลัง

เพื่อที่จะทำให้มันสำเร็จออกมาเป็นหนังที่ฉายได้จริงๆ พวกเขาจำเป็นต้องผ่านกระบวนการต่างๆ เหมือนนักทำหนังจริงๆ เพื่อจะขันแข่งกับทีมคาริน คร่าวๆ ก็คือ เท้าเปล่าที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง ผู้เขียนบท และผู้กำกับ เธอลงมือทำแทบจะทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหานักแสดง หาทีม หาทุน ถ่ายทำ ไปจนถึงขั้นตัดต่อ

ทั้งหมดกลายเป็นประสบการณ์สำหรับการเป็นนักทำหนังที่ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาต่อมา

แต่หนังกลับไม่ได้บอกเล่าเพียงแค่การทำสิ่งที่รักครั้งแรกเท่านั้น เพราะมันยังมีความเป็นหนังไซไฟแบบเบียวๆ อย่างการเดินทางข้ามกาลเวลาเข้ามาผสม ทั้งการพยายามตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของหนัง อะไรทำนองนี้อาจจะดูเพี้ยนๆ ไปบ้าง ทว่า มันกลับไปด้วยกันได้ดี อาจเพราะนี่มันเป็นหนังญี่ปุ่น มันจึงสามารถเล่าอะไรพวกนี้ออกมาได้นั่นเอง

ความรู้สึกของการได้ดูหนังเรื่องนี้ มันคือ การที่ได้ดูหนังวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยพลังอย่างแท้จริง วัยที่เริ่มต้นค้นหาทั้งความฝันและความรัก ท่ามกลางมิตรภาพแห่งผองเพื่อน เป็นหนังแห่งฤดูร้อน ช่วงเวลาแห่งความมุ่งมั่นและสดใส ที่ไม่ต้องมีอะไรมาขีดคั่น ทุกอย่างถูกสื่อออกมาอย่างซื่อตรง ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เคยได้ดูหนังอย่าง ‘Swing Girls’ อะไรพวกนั้น ดูแล้วได้พลังฮึกเหิมดี

เหมือนได้มองเห็นชีวิตของวัยรุ่นคนหนึ่งที่มุ่งมั่นก้าวตามความฝัน ผ่านการลองถูกผิด เมื่อคิดได้แล้วแก้ไขปรับตัว ในเรื่องนี้ แทบไม่มีการทะเลาะกันจริงจัง ทุกอย่างกลับมาเข้าลู่เข้าทางได้ตลอด ในช่วงสุดท้ายของหนังนั้น ระหว่างดู ก็ไม่คาดคิดว่าตอนจบของหนังจะออกมาในแนวทางนี้ มันชวนอึ้งดีไม่หยอก

แถมยังทำให้น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัวอีกด้วย

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง