รีวิวหนัง Pig | หมูข้าหาย ตามหาหมูพร้อมหาความหมายของชีวิต

เหมือนช่วงนี้ จะเริ่มมีหนังที่เล่าเรื่องสัตว์ค่อยๆ ทะยอยเข้ามาฉายในบ้านเราถี่ขึ้น หนึ่งในนั้น เป็นหนังที่เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กลางป่ากับหมูตัวหนึ่ง เมื่อมีคนขโมยหมูไป เขาจึงออกตามหา ใช่แล้ว! มันคือหนังเรื่อง ‘Pig’ ชื่อง่ายๆ สั้นๆ อย่างนั้นเลย ส่วนชื่อไทยจะยาวกว่ามาก ‘หมูข้าหาย กับความหมายของชีวิต’

ชักน่าสนใจแล้วใช่ไหมว่า หมูของชายคนนี้จะนำพาความหมายอะไรให้กับชีวิตของเขาบ้าง

มันคือ ผลงานภาพยตร์เรื่องยาวชิ้นแรกของผู้กำกับ Michael Sarnoski คนที่เคยมีผลงานหนังสั้น และกำกับซีรีส์อย่าง ‘Fight Night Legacy’ และ ‘Olympia’ ส่วนงานชิ้นนี้ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากพอสมควร ทั้งได้รับรางวัลและมีชื่อเข้าชิงในหลายรางวัล และวันนี้ ผมจะได้ชมด้วยสายตาตนเองในโรงภาพยนตร์แล้ว…

เรื่องย่อหนัง Pig

มันเป็นเรื่องของ ร็อบ หรือ โรบิน (Nicolas Cage จากหนังเรื่อง ‘Snowden’, ‘Face/Off’ และ ‘Next’) ชายหนวดเคราเฟิ้มที่มีชีวิตอาศัยอยู่กลางป่า กับหมูตัวหนึ่ง มันไม่ใช่หมูธรรมดา เพราะมันมีความสามารถในการค้นหาเห็ดทรัฟเฟิล ที่เป็นหนทางรายได้ของร็อบ เขากินนอนอยู่กับหมู รักมันเหมือนกับลูก ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่สนใจที่จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรทั้งนั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง มีคนมาปล้นเอาหมูของเขาไป ร็อบ จึงต้องออกติดตามค้นหา

เขาจึงชักชวนหนุ่มผู้ร่ำรวยมีรถสปอร์ตคาร์สีเหลือง นามว่าอาเมียร์ (Alex Wolff จากหนังเรื่อง ‘Hereditary’ และ ‘Old’) ช่วยพาเขาไปตามที่ต่างๆ ที่จะพบกับเบาะแสของหมูที่หายไปได้ แต่ทว่า ทุกที่ที่เขาออกไปหาจะให้อะไรกับเขาบ้าง อันนี้ ก็ต้องมาติดตามกัน

รีวิวหนัง หมูข้าหาย กับความหมายของชีวิต

หนังขึ้นต้นและลงท้ายด้วยเสียงของธรรมชาติ คล้ายกับจะพาเราไปพบกับเรื่องราวอันเป็นธรรมดาของชีวิต เรื่องราวของชายผู้ปลีกตัวไปอยู่กลางป่าเขา ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าหมูสีน้ำตาลตัวนึง ดำรงชีพด้วยการหาเห็ดทรัฟเฟิลขาย เขาจะออกไปในป่ากับเจ้าหมูตัวนั้น กลับมาก็ทำกับข้าวและก็กินไปพร้อมกับหมู ก่อนที่มันจะถูกใครไม่รู้ลอบเข้ามาทำร้ายเขาและคว้าเอาตัวหมูน้อยไป สุดท้าย ชายชื่อร็อบ ก็ขอร้องแกมบังคับให้ชายหนุ่มที่มารับซื้อเห็ดทรัฟเฟิลขับรถพาเขาเข้าเมือง

เหตุการณ์หลังจากนั้น คือ ช่วงเวลาที่ชายผู้ปลีกตัวจะได้หวนกลับไปเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ตนหลีกหนีมา

ร็อบต้องพกพาเอาใบหน้าที่เปื้อนเลือดเข้าเมืองไป เขาที่ละทิ้งทุกอย่าง ไม่แม้กระทั่งจะหาเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เดินเข้าหาร้านอาหารสุดหรูด้วยสภาพที่มอบแมม มุ่งหวังเพียงจะตามหาหมูสุดรักสุดหวงคืน

ระหว่างดู ในใจก็คิดไปว่า มันมีสาเหตุใดมั้ย ที่ทำให้ร็อบต้องหลบลี้หนีมาอยู่ป่ากับหมูตัวเดียว ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเคยเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง เคยมีตัวตนที่ตอนนี้ใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาไม่มี แท้จริง เขาไม่มีจริงหรือ ขนาดออกมาอยู่ป่า 15 ปี พอเขาเข้าเมืองไป ทุกคนยังจดจำเขาได้อยู่เลย เป็นตัวเขาเองด้วยซ้ำ ที่กำลังปิดตัวเองจากอะไรสักอย่าง และการเข้าเมืองไปเพราะตามหาหมู ก็ส่งผลต่อหลายสิ่งทั้งนอกและในตัวเขา

บทสนทนาหลายจุดและสิ่งที่ตัวเอกพบเจอก็น่าสนใจให้ความหมายอะไรหลายอย่างให้กับผู้ชม

สิ่งที่รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดในงานชิ้นแรกที่ทำให้ผมรู้จักกับ Michael Sarnoski นอกจากความเนือยเนิบของการดำเนินเรื่องแล้ว ก็คือ งานภาพที่จัดวางมาอย่างน่าชื่นชม มันมีทั้งความสวยและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ผสานกันไปกับเสียงดนตรีประกอบที่ดูมีเอกลักษณ์ เน้นเครื่องดีด ใส่ส่วนผสม ท่วงทำนองและจังหวะที่เปลี่ยนไปตามแต่อารมณ์ของเรื่อง จัดได้ว่าเป็นพาร์ทที่เด่นสุดๆ ในใจผมระหว่างดู

แม้ในระหว่างนั้น อารมณ์ของเรื่องแทบจะเป็นโทนเดียวตั้งแต่ต้นยันจบ บวกกับช่วงเวลาองก์แรกที่ค่อนข้างเน้นเวลากลางคืน ทำให้หนังชวนง่วงอยู่พอประมาณ และอาจส่งผลต่อการซึมซับทำความเข้าใจเรื่องราวอยู่พอสมควร แต่ก็คงไม่ใช่จะเป็นแบบนี้กับทุกคน

ความจริงแล้ว หนังมีเหตุและผลบ่งบอกเอาไว้ในคำพูดและการกระทำ

นี่คือ ผลงานการแสดงที่นานๆ จะได้เห็นทีนึงจาก Nicolas Cage ครั้งนี้เขามาในบทที่เคียดขึ้งจริงจัง พูดน้อย แต่ทุกคนที่พูดล้วนชวนฉุกคิด เอาเข้าจริง มันก็เข้ากันได้ดีกับอารมณ์ของหนัง คนดูน่าจะได้อะไรไปจากการดูเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ชายผู้ปลีกตัวจะได้หวนกลับไปเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ตนหลีกหนีมา โดยไม่รู้เลยว่า เพราะเพียงต้องการจะเอาหมูคืน เขากลับได้พบกับคำตอบบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงตัวเขา ฉากตอนต้น เขาทำสิ่งใด ฉากตอนท้าย เขาจะทำสิ่งนั้นอีกครั้ง

เมื่อหนังจบลง มันยังคงชักพาให้เรานั่งนิ่งฟังเพลงสุดท้ายอันแสนไพเราะนั้นไปจนจบ ปิดท้ายด้วยเสียงของป่า พาเรากลับสู่ธรรมชาติ…อีกครั้ง

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง