หลังจากหนังเรื่องนี้จัดฉายแบบ Sneak คือฉายแบบจำกัดโรงจำกัดรอบหลังสองทุ่มเป็นต้นไป และได้รับเสียงตอบรับที่ดี เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผมจะอดรนทนไม่ไหวต้องพาตัวเองเข้าไปดูถึงในโรงหนัง ‘Me Before You มี บีฟอร์ ยู’ หนังรักโรแมนติกที่สร้างจากนิยายขายดีเรื่องเดียวกัน
ด้วยความที่ได้ยินแต่คำชม ได้รับฟังแต่เสียงตอบรับดีๆ ของหนังเรื่องนี้จากผู้ที่ได้ไปรับชมมาก่อน พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่คาดหวังมากนักกับตัวหนัง ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมายไปมากกว่าตัวอย่างหนังที่ได้ชมในโรงหนัง เรื่องราวของหนุ่มพิการที่รับสมัครผู้ช่วย อาจเหมือนคุ้นมาจากหนังบางเรื่องแต่เมื่อได้ไปดูแล้วก็พบว่าแง่มุมในหนังมันเปลี่ยนไป เพราะนี่คือหนังรัก ไม่ใช่แค่หนังดราม่าให้กำลังใจชีวิตทั่วไป
ผลงานการเขียนหนังสือของนักเขียนผู้หวงผลงานตัวเอง Jojo Moyes
เรื่องย่อหนัง ‘Me Before You’
เมื่อสาวสวยอย่าง ลูอิซ่า ‘ลู’ คลาร์ก (Emilia Clarke จาก ‘Game of Throne’) ที่เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะไม่ดีนัก แถมเธอโชคร้ายต้องตกงานโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้เธอจะดูไม่มีจุดหมายอะไรในชีวิต แต่เธอก็เป็นคนมองโลกในแง่ดีมีความคิดสร้างสรรค์ แถมยังมีความตั้งใจอีกต่างหาก เธอต้องหางานใหม่โดยเร็วที่สุด
จนมาได้งานเงินดีอย่างการดูแลผู้ป่วยพิการเดินไม่ได้
เมื่อถึงบ้าน (เอ รึจะเรียกว่าเป็นคฤหาสน์ เพราะมีปราสาทอยู่ในพื้นที่บ้านด้วย) ของชายผู้นั้น เธอพบว่าเขาคือ วิล เทรย์เนอร์ (Sam Claflin จาก ‘Love, Rosie’ และ ‘Hunger Games: Mockingjay Part I&II’) ที่แรกๆ เขาก็ไม่ยอมรับเธอ แต่ไม่นาน ความสัมพันธ์ก็แปรเปลี่ยน แต่เธอจะก้าวต่อไปกับชายผู้ร่ำรวยแต่พิการคนนี้ได้หรือไม่
คงต้องลองไปพิสูจน์กัน!
รีวิวหนัง ‘Me Before You’
หลังจากฟังมาหลายเสียงก็ได้เวลาที่จะรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นด้วยตัวเอง หนังที่สร้างจากหนังสือ กำกับโดย Thea Sharrock ผู้หญิงที่กำกับหนังเข้าโรงใหญ่ครั้งแรกในชีวิต
ภาพสวย ดนตรีเพราะ เรื่องราวจับใจ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกชีวิตของพวกเขาว่าเป็นความสุขหรือความเศร้าดี เพราะมันปะปนกันไปจนไม่อาจจะแยกจากกันได้อย่างชัดเจน ‘Me Before You’ ถ่ายทำในโลเกชั่นที่มีปราสาทหลังใหญ่งดงามในอังกฤษ แค่นี้ก็เป็นฉากในฝันไปเรียบร้อยแล้ว แถมมันยังเหมือนเป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสองนาทีสุดท้ายของวัน เต็มไปด้วยภาพที่สวยงามที่ชวนให้ตะลึงตา หลายครั้งที่เขาเลือกจะทิ้งช็อตที่ตั้งกล้องนิ่งๆ มองเห็นเป็นภาพกว้าง แต่เป็นภาพเคลื่อนไหว
ที่ตรึงเราให้จมอยู่กับความรู้สึกสุขและเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การมาเจอกันของคนแตกต่างสองคน ลูคือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นมาตลอดชีวิต เธอมาทำงานที่นี่ด้วยหวังว่าจะได้เงินไปให้ครอบครัว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับคนป่วยที่พิการแถมอารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ คนนี้ยังไง ขณะที่วิลก็ยังไม่อาจจะปรับตัวเข้ากับโลกที่พังทลายลงไปได้ แต่จู่ๆ เขาก็กลับได้มาพบกับผู้หญิงที่มาทำให้ชีวิตที่จืดชืดและหม่นเศร้าได้กลับมามีสีสันอีกครั้ง
ดนตรีประกอบคือสีสันที่เติมให้หนังดูทรงพลังมาก ด้วยเมโลดี้ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันและได้รับการเรียบเรียงที่กระตุ้นเร้าให้มีพลังใจอยู่ตลอดเวลา เหมือนคนทำตั้งใจจะสร้างความรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้กำลังผลักดันให้คนดูก้าวเดินและลุกขึ้นสู้มากกว่าจะยอมแพ้
หนังรวมเองเพลงประกอบที่ไพเราะหลายๆ เพลงไว้ในเรื่องเดียวกัน และหลายเพลงก็พร้อมจะทำให้น้ำตาไหลได้อีกครั้งแม้หนังจะจบไปนานแล้ว ‘Photograph’ (Ed Sheeran), ‘Not Today’ (Imagine Dragons)
เรียกน้ำตาได้ชะงัดสำหรับคนอ่อนไหว
ในชีวิตหนึ่งของคนบางคน เขาอาจทำเพื่อคนอื่นมาทั้งชีวิต และทั้งชีวิตเขาไม่เคยจะได้ทำอะไรเพื่อตนเอง วันทั้งวัน เขาต้องสาละวนทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงปากท้อง ต้องให้เวลาในการดูแลครอบครัว กลายเป็นเหมือนเสาหลักที่ไม่อาจจะล้มได้ เพราะนั่นหมายถึงครอบครัวก็จะล้มไปด้วย
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงไม่ได้ “ใช้ชีวิต”
เท่าที่ดูหนัง รู้สึกได้เลยว่า ลูเป็นคนที่ใส่ใจในคนอื่นๆ ตั้งใจทำงาน ทุกสิ่งที่เธอทำนั้นเพื่อคนอื่นโดยแท้ เธอไม่มีโอกาสจะได้ไปเที่ยวไหนไกลๆ ไม่มีโอกาสจะได้เห็นโลกมากด้วยข้อจำกัดในชีวิตที่ตัวเอง แม้ว่าเธอจะมีแฟนเป็นแพททริก (Matthew Lewis คนที่เป็นลองบัตท่อมใน ‘Harry Potter’ นั่นแล) นักธุรกิจหนุ่มที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่การที่เธอได้พบกับเขามันได้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
เขาทำให้เธอได้รู้จัก “ชีวิต” อย่างที่มันควรจะเป็น ขณะที่เดียวกัน เขาเองที่ควรจะถอดใจกับความพิการที่ต้องอยู่กับมันไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ก็กลับได้พบว่ายังมีคนที่พร้อมจะทำอะไรเพื่อเขา ทั้งที่คนแบบเขาอาจยังไม่ดีพอจะได้รับมันด้วยซ้ำ
เธอคือแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในวันที่หม่นเศร้าโดยแท้
ช่วงเวลาที่สองตัวละครสนทนากันในช่วงเวลาท้ายๆ ของหนังมันช่างสะกิดใจโดยแท้ จากวันที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มาเจอกัน กลายเป็นลมที่หายใจรดกัน เป็นรักที่สุดรันทดจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
…สำหรับคนอ่อนไหวอย่างเรา
ไม่ใช่แค่หนังรัก แต่คือหนังชีวิต
จากที่เคยคิดว่า ‘Me Before You’ ก็คือหนังที่มีพล็อตคล้ายหนังอีกเรื่อง พอได้มาดูด้วยตาตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบเทียบกันเลย ถึงแม้เป็นหนังสร้างกำลังใจได้เหมือนๆ กัน แต่นี่คือหนังโรแมนติกระหว่างชายหญิงที่มีแง่มุมของดราม่าเข้ามาผสมด้วย เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ได้เป็นแค่หนังรัก แต่ยังเป็นหนังที่บอกเล่าแง่มุมเรื่องชีวิตอีกด้วย
แม่สาวมังกรอย่าง Emilia Clarke ที่บางคนอาจจะดูว่าเธอไม่สวย แต่ผมว่าเธอสามารถเล่นบทแบบนี้ได้ค่อนข้างดี เป็นผู้หญิงที่สร้างความสดใสได้ทั้งบนใบหน้า ลีลาการพูดและเสื้อผ้าอาภรณ์สุดประหลาดของเธอ แต่ทุกคนคงเห็นพ้องต้องกันว่า Sam Claflin มีเสน่ห์มากพอจะเป็นชายผู้ร่ำรวยแต่ทำให้หัวใจทุกคนสลายได้ในพริบตา
เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มน้ำตาไหล มันจะเอ่ออยู่อย่างนั้นในฉากถัดมา และเมื่อถึงฉากที่บทและอารมณ์มันกินใจ มันก็พร้อมจะทะลักออกมาอีกครั้ง
เขาสอนให้เธอรู้จักการใช้ชีวิต และเธอก็ทำให้ชีวิตของเขาสดใสกว่าที่เคย เวลาที่เรารักใคร เราก็อาจจะอยากจะ “ให้” สิ่งที่ดีกว่าในมุมมองเขา แต่ในหนังมันสะเทือนใจด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ฉุดรั้งพัฒนาการเอาไว้ ด้วยมุมมองความคิดต่อความรักที่แตกต่าง มันอาจทำให้เราต้องมานั่งถามคำถามกับตัวเองว่า…
ตกลง “รัก” สำหรับเรามันคืออะไร
ชื่อภาพยนตร์: Me Before You / มี บีฟอร์ ยู
ผู้กำกับภาพยนตร์: Thea Sharrock
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Jojo Moyes (screenplay), Jojo Moyes (novel)
นักแสดงนำ: Emilia Clarke, Sam Claflin, Janet McTeer, Vanessa Kirby, Jenna Coleman, Matthew Lewis
ความยาว: 110 นาที
แนว/ประเภท: Drama, Romance
อัตราส่วนภาพ:
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 2 มิถุนายน 2559
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Metro-Goldwyn-Mayer (MGM), New Line Cinema
มี บีฟอร์ ยู
Me Before You - 8
8
Me Before You
จากที่เคยคิดว่า 'Me Before You' ก็คือหนังที่มีพล็อตคล้ายหนังอีกเรื่อง พอได้มาดูด้วยตาตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบเทียบกันเลย ถึงแม้เป็นหนังสร้างกำลังใจได้เหมือนๆ กัน แต่นี่คือหนังโรแมนติกระหว่างชายหญิงที่มีแง่มุมของดราม่าเข้ามาผสมด้วย เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ได้เป็นแค่หนังรัก แต่ยังเป็นหนังที่บอกเล่าแง่มุมเรื่องชีวิตอีกด้วย
