อีกพล็อตหนึ่งที่มักฉุกชวนให้เกิดความสนใจใคร่อยากดูนั้นคงเป็นหนังที่เล่าเกี่ยวกับหนังสือ เมื่อทาง T&B Media Global Thailand นำหนังเรื่องนี้ ‘Book of Love’ หรือ ‘นิยายรัก ฉบับฉันและเธอ’ เข้ามาฉาย พร้อมชักชวนไปร่วมชม แล้วจะทำเฉยอยู่ได้ยังไง วันนี้คือวันนั้นที่เราจะได้ไปพบกับประสบการณ์ความรักของนักเขียนกันแล้วล่ะ
ถ้าพูดถึงผู้กำกับอย่าง Analeine Cal y Mayor คนไทยคงไม่คุ้นชื่อของเธอเพราะไม่เคยมีงานที่เข้าฉายในไทยมาก่อน แต่ถ้าพูดถึงนักแสดงนำอย่าง Sam Claflin หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตามาแล้วจากหนังหลายเรื่อง เขาคือ Finnick Odair ในหนังดิสโทเปียจากหนังสือดังอย่าง ‘The Hunger Games’ นั่นไง ส่วนนางเอกนั้น เธอคือ Verónica Echegui สาวสเปนคนนี้ ก็อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา และหลายคนก็คงได้เริ่มรู้จักเธอจากหนังเรื่องนี้นี่แหละ
ว่าแล้วก็ไปดูหนังเกี่ยวกับความรักของนักเขียนกันเล้ย….
เรื่องย่อหนัง ‘Book of Love’
เฮนรี ค็อปเปอร์ (Sam Claflin/แซม คลาฟลิน จากหนังเรื่อง ‘Enola Holmes’, ‘Me Before You’ และ ‘The Huntsman: Winter’s War’) เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่ไม่ประสบความสำเร็จ งานอ่านหนังสือของเขาแทบไม่มีใครมานั่งฟัง หนังสือของเขาก็ต้องลดราคาแล้วลดราคาอีกก็ยังขายไม่ออก ชีวิตการเป็นนักเขียนของเขาเกือบใกล้จะถึงจุดตีบตัน ถ้าไม่ได้ข่าวดีจาก บก. เจน ว่างานเขียนของเขาที่ถูกแปลเป็นภาษาสเปนนั้นขายดีมากมายในเม็กซิโก ทำให้เขาต้องไปโปรโมตและโชว์ตัวที่นั่น
ในที่สุด เขาก็เดินทางมาถึงเม็กซิโก โดยมีสาวลูกหนึ่งอย่าง มาเรีย โรดริเกซ (Verónica Echegui/เวโรนิก้า เอเซกี) กับ บก. เปโดร (Horacio Villalobos) รอรับอยู่ ในที่สุด เขาก็ได้รับรู้ความจริง มาเรีย คือหญิงสาวที่หยิบงานของเขาไปแปล แต่สิ่งที่เธอทำคือ การเปลี่ยนแปลงเรื่องราวไปหลายส่วนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่มันทำให้หนังสือโด่งดังและขายดีติดอันดับ
สิ่งที่เฮนรีได้รับคำแนะนำก็คือ เขาต้องทำตัวตามน้ำไป แฟนคลับที่คลั่งไคล้และชื่นชอบในตัวนิยายที่เขาไม่ได้เขียน เขาก็ต้องเออออไป เพราะนี่คือหนทางที่เขาจะมีรายได้จากการเป็นนักเขียน แต่อีกส่วนหนึ่ง มันก็อาจเป็นโอกาสดีที่ทำให้เขาได้เรียนรู้หนทางและแนวคิดใหม่ๆ ในการเป็นนักเขียน
รีวิวหนัง ‘นิยายรัก ฉบับฉันและเธอ’
แค่พล็อตเริ่มต้นเรื่อง ก็สร้างปัญหาในจิตใจเราเสียแล้ว เมื่อนักเขียนคนหนึ่งที่ดูอับเฉาเพราะงานเขียนของเขาไม่ถูกใจตลาด ออกงานเดินสายตามร้านหนังสือ ก็เจอเจ้าของร้านขายลดกระหน่ำต่อหน้าต่อตา ทำให้มองเห็นไปถึงว่า แล้วเขาจะได้เงินสักเท่าไหร่กันจากผลงานหนังสือเล่มนี้
แต่วันหนึ่ง เขากลับได้รู้ว่าหนังสือของเขาถูกเอาไปแปลเป็นภาษาสเปนและติดอันดับขายดีในเม็กซิโก
เมื่อนิยายของเขาถูกแปล แต่แทบจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย
เอาเข้าจริง มันก็ดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยที่หนังสือขายไม่ดี ถูกนำไปแปลขายในต่างประเทศ มองอีกมุม ทีมงานสำนักพิมพ์ในเม็กซิโกคงได้มาอ่านแล้วเกิดถูกใจเลยหยิบไปแปล แต่ก็ชวนสงสัยต่อไปอีกว่า ตัว บก. ไม่เคยอ่านเวอร์ชันสเปนมาบ้างเลยหรือไร แถมยังปิดบังนักเขียนว่า สำนวนในหนังสือเวอร์ชันสเปนนั้นแตกต่างจากที่เขาเขียนราวฟ้ากับเหว
เวอร์ชันสเปนนั้นเน้นเรื่องราวบนเตียงมากมายนัก ทั้งยังเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศของบางตัวละครไปอีก แต่ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด ผู้อ่านติดกันงอมแงม ส่งผลให้เขาโด่งดังขึ้นทันตา แต่ว่ามันเป็นความโด่งดังที่ไม่ได้เกิดจากตัวเขานี่สิ
ขณะที่อีกด้าน มาเรีย เป็นหญิงสาวแม่บ้านลูกติดชาวเม็กซิกันที่ทำงานในบาร์เลี้ยงชีพ เธอมีความสามารถแต่ถูกกดทับ หนังบอกกับเราประมาณว่า สังคมที่นั่นไม่ยอมรับนักเขียนหญิง เธอจึงทำได้เพียงหยิบยืมผลงานของผู้ชายมาแปลในแบบของตนเอง ฟังดูน่าเศร้าใจมิใช่น้อย แต่การหยิบงานคนอื่นมาแปลแบบไม่ให้เกียรตินักเขียนต้นฉบับ ทำให้ลดความเห็นใจเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
แซะวงการหนังสือพอทำเนา
แต่สิ่งที่มองว่าน่าสนใจในหนังเรื่องนี้ก็พอมีอยู่ หนังบอกเล่าถึงมุมมองในการเขียนนิยาย เขียนยังไงให้ดัง เขียนยังไงถึงจะถูกใจตลาด/ผู้อ่าน ความดังและยอดขายนั้นหมายถึงชีวิตและทรัพย์สินที่จะผันแปรตามไป สำนักพิมพ์เองก็ต้องดิ้นรนที่จะทำกำไรในวงการ หนึ่งหนทางก็คือการส่งแปลหลายๆ ภาษา การพานักเขียนไปทัวร์สัมภาษณ์ออกสื่อ หน้าที่หนึ่งของ บก. ก็คงเป็นการออกไอเดียของหนังสือเล่มใหม่ ที่มองว่าน่าจะขายดี ด้วยกระแสที่กำลังมา จึงผลักดันให้นักเขียนออกผลงานตามที่ตนแนะนำ
มีอยู่ช่วงหนึ่งในหนังที่ทั้งนักเขียนและนักแปลต้องทำตามโจทย์ที่ บก. แนะนำแกมบังคับ ซึ่งคนดูอย่างเราๆ ก็เข้าใจได้ ในเมื่อสถานการณ์มันออกจะเห็นชัดแบบนั้น การตัดสินใจในมุมมองของ บก. จึงค่อนข้างมีเหตุผล และช่วงนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราได้เห็นว่า สองพระนาง Sam Claflin และ Verónica Echegui ต่างก็ทำหน้าที่แสดงบทบาทได้เข้าคู่กันดี ซึ่งโจทย์อันนั้นก็ได้กลายมาเป็นความสัมพันธ์ของสองคนที่พัฒนาไป
และทำให้มองเห็นถึงที่มาที่ไป แรงบันดาลใจ และความเปลี่ยนแปลงในผลงานของนักเขียนได้เป็นอย่างดี
แต่หลายอย่างใน ‘Book of Love’ ยังดูไม่กลมกล่อม
หนังดูพยายามจะเล่าเรื่องของสังคมเม็กซิกันที่ถูกกดทับ แต่หลังกลับใช้มันผ่านการกระทำของตัวละครที่แอบเปลี่ยนเนื้อหาต้นฉบับ เหมือนให้คนหนึ่งทำผิดต่ออีกคนด้วยเหตุผลของความลำบากและการไม่ยอมรับ ตรงนี้อาจดูรับได้ยากนิดหน่อย เมื่อมองว่าหนังคงตั้งใจให้คนทั้งคู่ได้พัฒนาความสัมพันธ์
อีกจุดก็คือ บทพูดของเฮนรีที่ดูตะกุกตะกักยามต้องบอกเล่าว่าหนังสือของเขามันเกี่ยวกับอะไร ตรงนี้ก็ดูขัดใจอยู่บ้าง เพราะรู้สึกว่า ถ้าเป็นเจ้าของผลงานที่เขียนมาเองกับมือ ก็ควรจะบอกเล่าอะไรที่เข้าใจได้มากกว่าอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบแล้วจับใจความไม่ได้แบบนี้
หนังบอกเล่าถึงมุมมองเกี่ยวกับความรัก ตัณหา และความต้องการ ผ่านสองมุมของนักเขียนหนุ่มกับนักแปลสาวที่ภารกิจของพวกเขา ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์
บางบทสนทนาพาให้คนดูหัวเราะได้ ตรงนี้ก็ถือว่าหนังทำได้สำเร็จในแง่มุมของการเป็นหนังรอมคอม ขณะที่บทหนังค่อนข้างเป็นไปตามสูตร ไม่มีอะไรฉีกออกไปหรือแปลกใหม่จนเกินคาดเดา หนังใส่ตัวละครอย่างแอนโตนิโอ (Horacio Garcia Rojas จากซีรีส์ ‘Narcos: México’) สามีนักดนตรีที่ไม่ยอมเลิกราแม้จะไม่ค่อยมาดูแลลูกและครอบครัว ซึ่งในเรื่อง คาแรกเตอร์ของเขายังดูแบนและไม่น่าสนใจ เหมือนใส่มาเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับคู่พระนางแค่นั้น
แต่แล้วทุกอย่างก็จะต้องคลี่คลาย You completely rewrote me. ไอเดียสุดท้ายนั้นแม้มันจะเลี่ยนไปบ้างแต่มันก็น่าประทับใจอยู่
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Book of Love / นิยายรัก ฉบับฉันและเธอ |
ผู้กำกับ | Analeine Cal y Mayor |
ผู้เขียนบท | Analeine Cal y Mayor, David Quantick |
นักแสดง | Sam Claflin, Verónica Echegui, Fernando Becerril, Ruy Gaytan |
แนว/ประเภท | Comedy, Romance |
เรท | |
ความยาว | 106 นาที |
ปี | 2022 |
เข้าฉายในไทย | 17 มีนาคม 2022 |
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย | Buzzfeed Studios, Blazing Griffin, BondIt Media Capital, XYZ Films, T&B Media Global Thailand |
นิยายรัก ฉบับฉันและเธอ
บทและพล็อต - 5.9
การดำเนินเรื่อง - 6
การแสดง - 6.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
งานถ่ายภาพและโปรดักชัน - 6.9
6.5
Book of Love
หนังสไตล์รอมคอมที่เล่าเรื่องของนักเขียนอังกฤษผู้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่นิยายที่แปลเป็นภาษาสเปนกลับโด่งดังขายดี ก่อนจะได้รู้ว่านักแปลคนนั้นเปลี่ยนเรื่องราวในนิยายของเขาไปเสียหมด การพบกันของทั้งสองกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ ฟังดูอาจทำใจให้เชื่อตามได้ยากหน่อย หนังพยายามแตะประเด็นสังคมเม็กซิกันที่เพศหญิงถูกกดทับ แต่ก็ดูไม่ได้เล่าจริงจังอะไรนัก จัดว่าเป็นหนังที่ดูได้พอเพลิน