รีวิวหนัง Nosferatu | ปิศาจล่อลวงเพื่อกลืนกินโลก สยองโกธิคงานภาพเด่น

ในช่วงใกล้วันประกาศผลรางวัลออสการ์ หนังหลายเรื่องมีโอกาสได้เข้ามาฉายในโรงบ้านเรา หนึ่งในนั้นคือ ‘Nosferatu’ หรือชื่อไทยทับศัพท์ ‘นอสเฟอราตู’ ผลงานจากผู้กำกับ Robert Eggers ที่ได้เข้าชิงถึง 4 สาขาด้วยกัน ทั้งสาขาเมกอัปและออกแบบทรงผม สาขาถ่ายภาพ สาขาโปรดักชั่นดีไซน์ และสาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย และเมื่อมันเข้ามาฉายให้เข้าได้ดูกันสักที ก็เป็นคนธรรมดาที่คอหนัง (เท่าที่พอมีกำลังจ่าย) จะรู้สึกอยากเข้าไปดู

คิดเห็นเช่นไรกับหนังสยองขวัญเรื่องนี้?

หนังสยองขวัญแบบโกธิคๆ ของ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส ที่เล่าเรื่องปิศาจร้ายผู้ต้องการอยู่ร่วมกับหญิงสาวคนสวย จึงล่อลวงให้สามีหมาดๆ ของนางเดินทางไปหาตนในปราสาทอันห่างไกล จนปล่อยให้ภรรยาถูกครอบงำและต้องให้ศาสตราจารย์มาช่วยปราบ งานหลอนอาจจะไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่ที่โดดเด่นจนชื่นชอบก็คือ งานถ่ายภาพ งานจัดแสง ออกแบบเสื้อ ไปจนถึงการใช้ดนตรีประกอบ

แม้ว่ามันจะขนาดค่อนข้างยาว แต่ด้วยวิธีการเล่า บวกกับงานด้านภาพ ทำให้เราอยู่กับไปจนได้จบจบทีเดียว

เรื่องย่อหนัง ‘Nosferatu’

มันเป็นเรื่องราวของ (Lily-Rose Depp จากหนังเรื่อง ‘Voyager’ และซีรีส์ ‘The Idol’) หญิงสาวตรอมใจคนหนึ่ง ที่รู้สึกว่าตนมีสัญญาเชื่อมโยงผูกมัดกับปีศาจมัจจุราชตนหนึ่งมาอย่างอยาวนาน เงาหมอกร้ายดูจะจางหากตัวไปเมื่อเธอได้แต่งงกับ โธมัส (Nicholas Hoult จากหนังเรื่อง ‘Mad Max: Fury Road’ และ ‘The Order’) ชายหนุ่มที่ตั้งใจจะทำให้ชีวิตคู่ที่เพิ่งเริ่มของเขาและเธอมันดีขึ้น ด้วยงานใหม่ที่เขาเพิ่งได้รับ

ใครจะคาดคิด เขาได้ตอบรับเข้าทำงานสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ของน็อกซ์ แต่เจ้านายของเขาดันยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เขาต้องออกเดินทางไปพูดคุยเจรจากับท่านเคาน์ที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เพื่อแลกกับการได้ทำงานที่นี่ ซึ่งนั่นทำให้คู่ข้าวใหม่ปลามันต้องแยกจากกันชั่วคราว และโธมัสต้องเดินทางไกลไปเจอกับสิ่งน่าสะพรึงที่คาดไม่ถึง

รีวิวหนัง ‘นอสเฟอราตู’

นี่คือหนังสยองขวัญที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานชื่อเดียวกันที่เป็นผลงานการเขียนบทของ Henrik Galeen เมื่อฉบับปี 1922 และนิยายที่ว่าด้วยเรื่องแดร็กคูล่าของ Bram Stoker คราวนี้ Robert Eggers ผู้มีผลงานที่คนจดจำอย่าง ‘The Lighthouse’, ‘The Northman’ และ ‘The Witch’ เขาหยิบมันมาเขียนบทและกำกับเอง

ด้วยลายเซ็นสร้างชื่อให้ผู้กำกับที่ชอบจะสร้างหนังที่เล่าเรื่องในยุคเก่าและขับเน้นความมืดให้ดูน่ากลัว หนังเรื่องนี้จึงดูจะเหมาะกับเขามาก มันมีความเป็นหนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องราวในยุคโกธิค พาคนดูย้อนวันกลับไปอยู่ในเยอรมันในปี 1838 เรื่องราวของหญิงสาวที่ยึดโยงตัวเองอยู่กับปีศาจแวมไพร์นาม ‘นอสเฟอราตู’

ปีศาจร้ายที่ตามหลอกหลอนเลนน่าเสมอมาในความฝัน เสียงที่เรียกหาเรื่อยมาจนถึงเวลาที่ได้พบชายคนรักและตัดสินใจแต่งงาน ทุกสิ่งเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่การณ์กลายเป็นว่า สามีหมาดๆ ของเธอต้องเดินทางไกลยังปราสาทของท่านเคาท์ ทิ้งให้เธอต้องอยู่กับคู่สามีภรรยากับลูกสองคน ที่สามีเป็นเจ้าหนี้และภรรยาคือเพื่อนสนิทของเธอ

ท่ามกลางสายตาไม่เห็นด้วยของคนรัก แต่เพราะสามีต้องการสร้างฐานะ เขาจึงจำต้องไกลห่างเธอเพื่อคว้างานชิ้นใหม่ โดยไม่ได้สำเหนียกสักนิดว่ามันคือการล่อลวงของพญามัจจุราชที่ต้องการกลืนกินภรรยาคนสวยของตนเอง

ไม่ว่าคุณจะเคยติดตามเวอร์ชันก่อนหน้ามาหรือไม่ ไม่ได้จำเป็นเลยสักนิด เมื่อหนังเล่าอย่างไม่ตกหล่น อาจมีบางฉากที่เปิดให้คิดเพิ่มนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ยากเกินเข้าใจ ตัวละครมากหน้าโผล่เข้าฉากมาหลายตัว ทั้งสาวกผู้ภักดี คุณหมอที่ใช้วิชาการสมัยใหม่รักษาคน และศาสตราจารย์ผู้ช่ำชองเรื่องโลกลี้ลับ

หนังบอกเล่าเรื่องความชั่วร้ายของมัจจุราช ที่มาพร้อบโรคร้ายที่ระบาดไปทั่วชุมชน บ่งบอกว่า บางทีความเชื่อต่างๆ ที่เคยมีในอดีต มันอาจเป็นเรื่องที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ในช่วงเวลานั้น สวรรค์บันดาล ปีศาจ อสูร สิ่งชั่วร้าย เป็นอะไรที่อยู่ในความคิดและชีวิตของผู้คน คำอธิบายจึงแตกต่างออกไป

Taglines: Succumb to the darkness.

กับการแสดง นายแพทมองว่า ตัวปิศาจนี่จะมีความเล่นใหญ่เหมือนดูละครเวที เอาจริงๆ ไม่ได้ติดอะไรนะ เพราะมองว่านี่เป็นหนังที่เล่าถึงโลกในยุคโกธิค ฟีลมันจึงได้ช่วงนั้นอยู่ จะบอกว่า หนังมันไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น แต่มันมีดีตรงงานภาพ จัดวางแสง ออกแบบการเคลื่อนกล้อง งานออกแบบเสื้อผ้า และการดนตรีประกอบ พาโลกทะมึนเหลือเชื่อให้ดูลึกลับน่าติดตาม จึงสมแล้วที่หนังจะมีชื่อชิงออสการ์ในสาขาดังกล่าว

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง ‘นอสเฟอราตู’