
ในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างก้าวรุดหน้าไป ใช่ว่าทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลง แต่เพราะทุกสังคมมีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ การปะทะกันของสองความคิดความเชื่อย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติ หนังสัญชาติฮ่องกงเรื่องนี้ก็เช่นกัน ‘The Last Dance‘ หรือชื่อไทย ‘เดอะ ลาสต์ แดนซ์’ เล่าถึงกลุ่มคนที่ร่วมกันในธุรกิจจัดงานพิธีศพ แต่เพราะความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น
คิดเห็นเช่นไรกับหนังฮ่องกงเรื่องนี้?
เรื่องราวของครอบครัว ความตายและการจากลา ถูกหยิบมาใช้เล่าในหนังฮ่องกงเรื่องนี้ สองด้านที่คิดต่างและต้องมาปะทะกัน คนรุ่นเก่าพระลัทธิเต๋าที่คร่ำเคร่งกฎคร่ำครึ กับนักจัดงานแต่งที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อนายหน้าจัดงานศพมือใหม่ ท่ามกลางบริบทของครอบครัวคนจีนที่มองว่าพิธีส่งคนตายเป็นเรื่องของบุรุษ หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ชวนคิดตาม พูดถึงความคิดชายเป็นใหญ่ในสังคมฮ่องกง แทรกซึมขนบธรรมเนียมที่เป็นภูมิปัญญาของผู้คน
หนังนำพาความจริงให้คนดูได้รู้สึกเข้าใจแถมยังทำน้ำตาไหล แม้ไม่ได้เกิดในครอบครัวคนจีน
เรื่องย่อหนัง ‘The Last Dance’
มันคือเรื่องของซินแสทำพิธีรับผิดชอบส่งวิญญาณ ที่ปะทะกับนายหน้ารับผิดชอบส่งคนเป็น เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 ระบาดไปทั่วเกาะฮ่องกง ส่งผลให้โต่วซัง (ดาโย หว่อง จากหนังเรื่อง ‘A Guilty Conscience’) นักจัดงานแต่งตัวท็อปต้องกลายเป็นผู้มีหนี้สินท่วมหัว แต่โชคยังดี เขาได้รับโอกาสใหม่ ผันตัวเองมาทำอาชีพนักจัดงานศพผู้ทำหน้าที่ส่งคนตาย แต่ก็นั่นก็ทำให้เขาต้องมาทำงานกับ ซินแสหมั่น (ไมเคิล ฮุย จากหนัง ‘Where the Wind Blows’) ผู้เคร่งครัดในขนมธรรมเนียมและอุทิศชีวิตให้กับการทำพิธีศพแบบลัทธิเต๋า ทั้งไม่เชื่อมั่นในตัวของโต่วซัง มองว่าเขาคือมือใหม่ที่ไม่เคร่งในพิธีกรรมเท่า
ขณะเดียวกัน การที่โต่งซังต้องมาทำงานร่วมกับซินแสหมั่น ก็ทำให้เขาได้เข้ามาใกล้ชิดกับครอบครัวของซินแสด้วย เขาได้รู้จักกับ หมั่นหยู (มิเชล ไหว่ จากหนังเรื่อง ‘A Guilty Conscience’) ลูกสาวที่เชื่อมั่นและชื่นชมในตัวพ่อตลอดมา แต่พ่อของเธอไม่ยอมให้สืบทอดด้วยเหตุผลที่เป็นผู้หญิง อีกคนคือหมั่นปิน (ทอมมี จู จากหนังเรื่อง ‘Fly Me to the Moon’) ลูกชายคนเดียวที่ซินแสวางตัวให้สืบทอด แต่เขาไม่รู้สึกอยากทำ
แต่หลังจากเขาเข้ามาเป็นนายหน้าทำศพ ก็ได้ใช้ลูกเล่นสร้างสรรค์มาช่วยให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จขึ้นมาหมาย ทว่าอุปสรรคใหญ่ยังคงเหมือนเดิม คือ การไม่ถูกยอมรับจากซินแสหมั่นผู้ยึดมั่นในธรรมเนียม
รีวิวหนัง ‘เดอะ ลาสต์ แดนซ์’
หนังจากฮ่องกงเรื่องนี้เป็นหนังในปี 2024 ที่ได้รับคำชื่นชมมากมาย คนไทยมีโอกาสได้ดูเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ปี 2025 ได้ไม่นาน ด้วยเรื่องราวของมันที่โดนใจคนฮ่องกงสมัยใหม่ น่าจะเป็นสาเหตุให้มันประสบความสำเร็จ แม้ว่ามันจะพูดถึงธุรกิจที่หากินความตายก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละ ความตายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาตลอด เพราะเราทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับนาฬิกาที่นับถอยหลัง มนุษย์อยู่บนโลกนี้มานานจนการตายของพวกเขาต้องมีพิธีกรรม และกาลเวลาก็ทำให้คนแต่ละรุ่นมีมุมมองต่อเรื่องนี้แตกต่างกัน หลายคนอาจถึงกับตั้งคำถามว่า “แท้ที่จริงแล้ว หากินกับศรัทธาผู้คน หรือ หากินกับคนตาย”
หนังเรื่องนี้ จึงมีทั้งคนรุ่นเก่าที่บางคนมองเห็นว่าสังขารตนไปไม่ได้ ยอมปล่อยกิจการให้คนรุ่นหลังสืบทอด กับคนรุ่นเก่าที่ยังคงยึดมั่นในขนมธรรมเนียมที่ได้รับสืบทอดมาไม่ยอมเปลี่ยน กับคนที่รุ่นถัดมาที่มองว่าหลายสิ่งต้องถูกปรับเปลี่ยน และก็มีคนรุ่นใหม่กว่าที่วาดหวังจะสืบทอดในสิ่งที่คนรุ่นเก่าสั่งสมมา ความคิดสองด้านใหญ่ๆ กำลังปะทะกันในหนัง ‘เดอะ ลาส แดนซ์’ เรื่องนี้
เริ่มต้นมา หนังก็แนะนำให้คนดูได้รู้จักกับประเพณีทุบกระเบื้องทลายประตูนรกเพื่อส่งคนตายอันเป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในแบบฮ่องกง ที่จะถูกใช้ไปตลอดเรื่องราวของมัน จากนั้นก็พาเราไปรู้จักกับทุกตัวละครที่เกี่ยวข้อง ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก็คือ ชายหนุ่มที่ก้าวมาจากผู้จัดงานแต่งสู่นายหน้าผู้รับผิดชอบส่งคนเป็น กับซินแสทำพิธีรับผิดชอบส่งคนตาย คนหนึ่งมองว่า ความคร่ำครึบางอย่างควรถึงกาลเปลี่ยนแปลง ขณะที่อีกคน มองว่าทุกสิ่งควรเป็นไปตามกฎที่ถูกสั่งสอนมา
เอาจริงๆ หนังมันเล่าหลายสิ่งมาก เพราะทุกตัวละครต่างก็มีความคิดและปัญหาที่เป็นของตน ทำให้บทสนทนาของตัวละครแต่ละคู่ล้วนมีอะไรให้คิดตริตรองตามไปด้วยเสมอ เหมือนบทตั้งใจเอาสองความคิดที่แตกต่างมาหักล้างและผสมผสานกัน เพราะไม่ว่าจะคิดในเรื่องไหน มันก็มีอีกมุมอีกด้านให้มองเสมอๆ
โต่วซัง แม้จะไม่ถึงเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ก็ก้าวมาจากอาชีพอื่น จึงมีมุมมองที่แตกต่าง มีความยืดหยุ่นหลังผ่านมาหลายอาชีพ แม้เขาจะเป็นนายหน้าที่หากินกับความตายของผู้คน แต่เขาก็อ่อนโยนและโอนอ่านมากพอที่จะปลอบประโลมญาติของผู้ตาย เพราะเขามองว่า คนเป็นต่างหากที่ต้องตกนรกเพราะการสูญเสีย ขณะที่คนตายไม่รู้อะไรอีกแล้ว จะไปสวรรค์จริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้อีกเช่นกัน
ด้านซินแสหมั่นก็ดูจะยึดติดอยู่กับสิ่งที่ได้รับสืบทอดมา โดยเฉพาะความคิดเรื่องผู้ทำพิธีต้องเป็นเพศชาย ประจำเดือนของผู้หญิงจะทำให้แปดเปื้อน บรรพบุรุษไม่ชอบ กลายเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงความคิดเก่าๆ ที่ยังคงฝังรากอยู่ และแน่นอน คนรุ่นใหม่คงต้องถูกใจสิ่งนี้ หลายคนน่าจะมีความคิดไม่ต่างจากโต่วซัง
แม้เราจะไม่ใช่ลูกหลานคนจีน (ถึงมีก็แค่กระผีกหนึ่งเท่านั้น) แต่ก็สามารถซึมซับและเข้าอกเข้าใจได้พอสมควร แม้เราจะไม่เคยไปอยู่ร่วมในพิธีส่งคนตาย ไม่เคยมีซินแสใดอยู่ในชีวิตเรา แต่หนังก็ทำให้เราเหมือนอยู่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพวกเขาได้
ความโดดเด่นของบทบาทจึงพุ่งเป้าไปที่ ดาโย หว่อง ผู้เล่นเป็น โต่วซัง ที่ต้องฟาดฟันกับ ไมเคิล ฮุย และ มิเชล ไหว่ ผู้เล่นเป็น หมั่นหยู ลูกสาวของซินแสหมั่น โดยเฉพาะรายหลัง เธอต้องเล่นเป็นลูกสาวที่ศรัทธาในตัวพ่อที่อุทิศชีวิตหากินเลี้ยงปากเลี้ยงครอบครัวเรื่อยมา และอยากจะเป็นคนสืบทอดแต่ผู้เป็นพ่อไม่เคยให้ สุดท้าย ชีวิตของลูกสาวในครอบครัวคนจีนก็ถูกบอกเล่าอีกครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ คือเรียกน้ำตาจากผู้ชมให้หลั่งริน เขารู้จักขยี้เมื่อมันถึงเวลา แถมเลือกจะให้กำลังใจผู้คน จนทำให้มันกลายเป็นของดีจากเกาะฮ่องกงที่สมควรจะได้ให้โอกาสไปดูในโรงกัน
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Last Dance / เดอะ ลาสต์ แดนซ์ |
กำกับ | Anselm Chan/ฉั่น เหม่า เหยี่ยน, อันเซล์ม |
เขียนบท | Anselm Chan |
แสดงนำ | Michael Hui, Dayo Wong, Michelle Wai, Pak-Hong Chu, Catherine Chau |
แนว/ประเภท | ดราม่า |
เรท | |
ความยาว | 126 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | ฮ่องกง |
เข้าฉายในไทย | 6 กุมภาพันธ์ 2025 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | AMTD Digital, Alibaba Pictures Group, Emperor Movie Group, Encore Films |
คะแนนรีวิวหนัง เดอะ ลาสต์ แดนซ์
บทและพล็อต - 8.5
การแสดง - 8.5
การดำเนินเรื่อง - 8
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 8.5
8.3
The Last Dance
เรื่องราวของครอบครัว ความตายและการจากลา ถูกหยิบมาใช้เล่าในหนังฮ่องกงเรื่องนี้ สองด้านที่คิดต่างและต้องมาปะทะกัน คนรุ่นเก่าพระลัทธิเต๋าที่คร่ำเคร่งกฎคร่ำครึ กับนักจัดงานแต่งที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อนายหน้าจัดงานศพมือใหม่ ท่ามกลางบริบทของครอบครัวคนจีนที่มองว่าพิธีส่งคนตายเป็นเรื่องของบุรุษ หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ชวนคิดตาม พูดถึงความคิดชายเป็นใหญ่ในสังคมฮ่องกง แทรกซึมขนบธรรมเนียมที่เป็นภูมิปัญญาของผู้คน หนังนำพาความจริงให้คนดูได้รู้สึกเข้าใจแถมยังทำน้ำตาไหล แม้ไม่ได้เกิดในครอบครัวคนจีน