ในที่สุด ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยก็ได้เวลาเข้าโรงมาฉายให้ได้ดูกันสักที ‘Thor The Dark World’ คือ ภาคที่สองของเทพเจ้าสายฟ้าที่มีค้อนมหาประลัยเป็นอาวุธคู่กาย แต่มันก็ไม่ได้ภาคสองเสียทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่องราวต่อจาก ‘The Avengers’ มาอีกทีหนึ่งนั่นเอง
ใครๆ ก็รู้ว่า Marvel Studios คือเจ้าของแฟรนไชส์ของธอร์ (Thor) และซูเปอร์ฮีโร่อีกหลายๆ ตัว แต่ธอร์ดูจะเป็นตัวที่อยู่ในโลกที่ประหลาดสุดแล้ว เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงเทพเจ้า (แม้ผู้กำกับมักจะมองว่าพวกนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำกว่ามนุษย์ก็ตามที) และพวกเขาก็ร่วมอยู่ในระบบสุริยะเดียวกันกับเรา แต่ผมยังเดาไม่ได้ว่า ดาวของพวกเขาคือดาวไหนเท่านั้นเอง
รีวิวหนัง ‘Thor The Dark World’
ธอร์ (Chris Hemsworth) คือลูกชายที่พ่อผู้เป็นกษัตริย์ครองดินแดนแอสการ์ดหวังว่าให้สืบบัลลังก์ ด้วยความห้าวหาญและความดีในตัวของเขา ซึ่งผิดกับโลกิ (Tom Hiddleston) ลูกที่พ่อไม่เคยอยากให้เติบโต เขากลายเป็นตัวร้ายที่สร้างความปั่นป่วนในภาคแรก แต่ในวันนี้ เขายังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่
ถ้าได้อ่านข้อมูลมาบ้าง จะพบว่ามันเริ่มไม่ใช่แล้ว
คนเขียนบทหันไปหาผู้ร้ายอีกกลุ่ม และเรียกพวกเขาว่า ดาร์กเอลฟ์ พวกมันหวังจะทำให้จักรวาลเข้าสู่ความมืดมิด ด้วยอาวุธที่นับว่าร้ายแรงเกินทัดทานนาม อีเธอร์ แต่นักรบแอสการ์ดสยบพวกมันไว้ได้ พร้อมกับซ่อนอาวุธร้ายนี้ไว้ในที่ที่ไม่มีใครหาพบ และเข้าใจว่าดาร์กเอลฟ์ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว หากแต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พวกมันกลับมาอีกครั้งเพื่อช่วงชิงอาวุธร้ายนั้นกลับคืนมา
และหนทางในการจัดการกับพวกมัน คือ การร่วมกันของสองพี่น้อง ธอร์ และ โลกิ
นี่เป็นแค่เนื้อเรื่องย่อๆ เท่านั้น รายละเอียดจริงๆ ยังมีอีกพอสมควร ซึ่งอยากให้ลองไปติดตามด้วยตัวเองในโรงเสียมากกว่า หนังพยายามอธิบายอย่างยืดยาวพอประมาณแต่ก็มีบางจุดที่รู้สึกว่ายังไม่สมเหตุผลพอสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ยังไม่มากมายพอจะกลบความสนุกจากการตัดต่อและเรื่องราวโดยรวมของ ‘Thor: The Dark World’ ภาคนี้ไปได้
หนังเรื่องนี้มีฉายในหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น 4DX, IMAX 3D รวมทั้ง Digital ที่มีระบบเสียงแบบ ATMOS ผมเองมีโอกาสได้ชมในแบบ IMAX 3D ซึ่งก็พบว่า ได้ความสะใจของจอฉายขนาดใหญ่ แต่ระบบเสียงยังไม่หนำใจนัก ขณะที่ภาพในแบบ 3D ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นประทับใจมากเท่าไร แต่ถ้าพูดถึงระบบความเนียนของ CG ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรแหละครับ
ในด้านของเนื้อเรื่องนั้น ก็จัดได้ว่าภาคนี้เน้นหนักไปที่การสงครามมากขึ้น ทำให้เรื่องราวดูตื่นเต้นและเข้มข้นมากขึ้น มีฉากแอ็คชั่นมากขึ้น ซึ่งดูๆ ไปก็อาจจะรู้สึกได้ว่า เหมือนกำลังดู Star Wars ภาคเทพเจ้าอยู่ยังไงยังงั้น แถมยังมีนางเอกเป็น Natalie Portman ยิ่งใช่เข้าไปใหญ่เลยนะเนี่ย
และเมื่อหนังเป็นช่วงสงคราม ชุดเกราะจีงดูเก่าๆ ไม่เงาวิ้งอย่างภาคแรก ทั้งนี้เพราะภาคใหม่นี้เป็นฝีมือการกำกับของ Alan Taylor ผู้มีเครดิตมาจากงานกำกับ Game of Thrones นั่นเอง สเปเชี่ยลเอฟเฟกตส์อลังการตระการตา ภาคนี้ เราได้เห็นว่า หนังแอ็คชั่นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีมุขตลกติดมาด้วย ทำให้เราสนุกสนานกับการติดตามเนื้อเรื่องยังไง จริงๆ แล้ว เป็นส่วนผสมที่เคยใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วใน Iron Man นั่นแหละ
โลกิ กลายเป็นตัวละครที่แย่งซีนทุกตัวในภาคนี้ เขาสร้างสีสันให้กับเรื่องราวทุกช่วง มันคงจะหมดสีสันไปเลยทีเดียวหากไม่มีตัวละครนี้ แถมยังปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นตัวละครที่กวนตีนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ช็อตดราม่ากลับไม่สามารถทำเราอินได้เท่าไหร่
ตามสไตล์หนังของมาร์เวล นั่งรอดูจนหมด End Credit คุณจะได้พบกับของแถมปรากฏอยู่ 2 จุด หลังรายชื่อตัวละครที่มาพร้อมกับกราฟิกสไตล์ภาพวาด 3 มิติ และท้ายสุดหลังเครดิตคนทำงานอันมากมายมหาศาลก็จะพบได้อีกจุด
เพราะฉะนั้น หนังจบ ไม่ต้องลุกไปไหน ปวดฉี่ก็นั่งรอนะจ๊ะ!
ชื่อภาพยนตร์: Thor: The Dark World / ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Alan Taylor
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Christopher Yost (screenplay), Christopher Markus (screenplay), Stephen McFeely (screenplay), Don Payne (story), Robert Rodat (story), Stan Lee (comic book), Larry Lieber (comic book), Jack Kirby (comic book)
นักแสดงนำ: Chris Hemsworth, Natalie Portman, Tom Hiddleston, Anthony Hopkins, Christopher Eccleston
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Fantasy
ความยาว: 112 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 7 พฤศจิกายน 2556
ผู้สร้าง/สตูดิโอ/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Entertainment, Marvel Studios
ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ
Thor: The Dark World - 7
7
Thor: The Dark World
ในด้านของเนื้อเรื่องนั้น ก็จัดได้ว่าภาคนี้เน้นหนักไปที่การสงครามมากขึ้น ทำให้เรื่องราวดูตื่นเต้นและเข้มข้นมากขึ้น มีฉากแอ็คชั่นมากขึ้น ซึ่งดูๆ ไปก็อาจจะรู้สึกได้ว่า เหมือนกำลังดู Star Wars ภาคเทพเจ้าอยู่ยังไงยังงั้น แถมยังมีนางเอกเป็น Natalie Portman ยิ่งใช่เข้าไปใหญ่เลยนะเนี่ย
คาดว่าจะไม่ไปดู เพราะเข็ดจากภาคแรก
โลกิไม่ใช่ลูกที่พ่อไม่อยากให้เติบโตซักหน่อย พ่อก็รักเค้านะคะ เค้าแค่รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นพวกยักษ์น้ำแข็งที่พ่อเก็บมาเลี้ยงเฉยๆ จากภาคแรกอ่ะค่ะ
เข้าใจไปคนละอย่างละ ผู้เป็นพ่อต้องเลือกว่าลูกคนใดสมควรได้ขึ้นเป็นกษัตริย์นั่นต่างหาก คือ ความหมายที่ผมกล่าวถึง