ทุกวันนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเคยได้รับการติดต่อจากคอลเซ็นเตอร์จอมหลอกลวงต้มตุ๋นคนกันมาแล้วทั้งนั้น บ้างตกเป็นเหยื่อ บ้างรู้เท่าทัน แต่ถ้าเกิดคุณมีความสามารถในการฆ่าระดับสูงและบังเอิญคนใกล้ตัวฆ่าตัวตายเพราะโดนคอลเซ็นเตอร์หลอกล่ะ คุณจะทำแบบใน ‘The Beekeeper’ หรือชื่อไทย ‘นรกเรียกพ่อ’ หรือไม่
ความคิดเห็นส่วนตัวของนายแพท
หนังสไตล์น้ำผึ้งหยดเดียวที่ลุกลามใหญ่โตที่ชวนสะใจดีไม่หยอก หยิบเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังเป็นประเด็นไปทั่วโลกมาเล่า แล้วใช้ตัวละครประเภทฉายเดี่ยวที่มีฝีมือระดับพระกาฬและใครๆ ก็เกรงกลัวมาเป็นพระเอก หนังมีแง่มุมน่าสนใจอยู่พอสมควรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้กฎหมายจัดการกับผู้กระทำผิด การเป็นศาลเตี้ยที่ลุกขึ้นจัดการเมื่อกฎหมายมันล้มเหลวในการจัดการ รวมทั้งการเป็นคนใหญ่คนโตแต่เบื้องหลังฟอนเฟะ
อีกด้านหนังมันก็เปิดให้ เจสัน สเตแธม ได้ออกลีลาบู๊ได้มากกว่าเรื่องก่อนๆ เหมือนจะค่อยสมเป็นหนังที่แกแสดงหน่อย แถมบางช่วงยังโหด ดิบ และดุดัน ชวนหวาดเสียวอีกต่างหาก
เรื่องย่อหนัง ‘The Beekeeper’
ในโลกนี้มีความลับหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ อดัม เคลย์ (เจสัน สเตแธม/Jason Statham จากหนังเรื่อง ‘Wrath of Man’ และ ‘Fast X’) ที่ตอนนี้เขาได้รับความเอื้อเฟื้อจากป้าข้างบ้านที่กลายเป็นคนสนิท ชีวิตของหนุ่มที่ไม่มีใครรู้ที่มา วันๆ มีความสุขอยู่กับการเลี้ยงผึ้งและทำให้พื้นที่รกร้างกลับมามีชีวิต แต่เมื่อวันหนึ่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้หลอกลวงเอาเงินของป้าไปจนเกลี้ยงบัญชี เป็นเหตุให้ป้าลั่นไกฆ่าตัวตาย ทำให้เขาต้องออกโรงไปล้างแค้นพวกที่ทำระยำถึงที่
อันที่จริงแล้ว ถ้าคืออดีตเจ้าหน้าที่สุดเหี้ยมในโครงการที่ชื่อ บีคีปเปอร์ เป็นโครงการถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้โปรแกรมลับของรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่มือพระกาฬที่คอยปฏิบัติภารกิจสุดหินที่ไม่มีใครสามารถจัดการได้ รวมถึงดูแลความเรียบร้อยของ The Hive ที่เปรียบเสมือนเครือข่ายความมั่นคงของรัฐบาล บีคีปเปอร์กระจายอยู่ในทุกที่ทั่วโลก พวกเขาอำพรางสถานะโดยไม่มีใครรู้เพราะกว่าจะรู้ เป้าหมายก็อาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว
แต่การกลับไปล้างบ้างคนชั่วของเขาครั้งนี้ ก็ทำให้เขาต้องพบกับอีกหลายตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น วอลเลซ (Jeremy Irons จากหนังเรื่อง ”) อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่ตอนนี้กลายเป็นขาใหญ่ในธุรกิจและต้องคอยดูแล เดเร็ค (Josh Hutcherson จากหนังเรื่อง ”) ทายาทของแดนฟอร์ดที่ยังไม่ค่อยจะโต รวมทั้งยังต้องเผชิญหน้าสองตำรวจนักสืบที่หนึ่งในนั้น คือ เวโรน่า ปาร์กเกอร์ (Emmy Raver-Lampman) ลูกสาวของป้าข้างบ้านรวมอยู่ด้วย
รีวิวหนัง ‘นรกเรียกพ่อ’
หนังมันว่าด้วยอดีตบีคีปเปอร์ที่แม้ลาออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีแนวความคิดเดิมไม่เคยเปลี่ยน ราวกับถูกฝังรากจนกลายเป็นวิถีของตนเองไปแล้ว อะไรที่มันไม่ถูกต้อง ผิดไปจากระเบียบที่ควรจะเป็น เขาที่เคยมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยจึงต้องออกไปจัดการ แถมความสามารถเฉพาะในด้านการต่อสู้นั้นถือว่าเป็นระดับพระกาฬ ชนิดที่ว่าลุยเดี่ยวๆ ไปก็เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งแก๊ง
หลังกบดานอยู่เป็นปี ซึ่งก็คงอารมณ์เหมือนสายลับทั่วไป ที่พยายามจะปลีกวิเวก ไม่ทำตัวโฉ่งฉ่าง แต่พอดีป้าคนนี้เธอให้ทั้งที่พักพิงและพึ่งพากันมาตลอด ดันมาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกต้มตุ๋นจนเงินหมดบัญชีและปลิดชีพตัวเอง เลยทนไม่ไหวออกโรงไปล้างบาง จากโคนจนยอด แต่ก็เหมือนยิ่งสืบก็ยิ่งเจอว่ารากของมันใหญ่แค่ไหน
เรื่องนี้อาจจะมีการสร้างคาแรกเตอร์ของตัวละครที่ค่อนข้างใส่สีสันนิดนึง เช่น ตัวละครบีคีปเปอร์อีกตัวที่ออกจากประหลาดๆ หน่อย หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกทีมที่แต่งตัวจัดกว่าทีมแรก
แต่ใดๆ คือ การใส่บทบู๊ให้กับ เจสัน สเตแธม แบบจัดมาหนักๆ มีทั้งความโหด ความดุดัน และความมั่นใจ มาคนเดียวไม่สนลูกใคร ลีลาการพะบู๊บ่งบอกถึงความเจนจัด ที่ทำให้ใครได้ยินชื่อก็ต้องเกรงขาม ประมาณว่ารู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์โดยไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ มันช่างเข้ากับคาแรกเตอร์ หน้าตา และศักยภาพของนักแสดงเป็นอย่างดี หนังเรื่องนี้ นอกจากเน้นความมันเวอร์แล้ว ก็ยังมีช็อตโหดๆ ชวนให้ผู้ชมบางท่านออกอาการหวาดเสียวกันได้อีกด้วย
หนังมันเล่าโดยเริ่มจากเล็กไปหาใหญ่ สไตล์น้ำผึ้งหยดเดียวอารมณ์แบบ ‘John Wick’ จุดเริ่มต้นเพียงป้าข้างบ้านฆ่าตัวตายเพราะโดนคอลเซ็นเตอร์หลอก ลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศไปในบั้นปลาย พล็อตมีความทันสมัยเมื่อเขาหยิบเอาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นปัญหาไปทั่วโลกมาวางเป็นตัวตั้งต้น ก่อนจะพาเรื่องขนายไปสู่คำถามที่ยิ่งใหญ่กว่า “คุณจะเลือกกฎหมายหรือความยุติธรรม?”
ซึ่งในระหว่างนั้น พระเอกที่ฉายเดี่ยว ก็ใช่จะไม่ถูกเพ่งเล็งจากเหล่าตำรวจ แม้หนึ่งในนั้นจะเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะเธอคือลูกสาวของป้าคนที่ฆ่าตัวตาย แต่การกระทำของพระเอกก็เข้าข่ายอาชญากรเช่นกัน ทว่า หลังจากติดตามไปจนสาวถึงต้นตอใหญ่ ก็คงถึงเวลาที่ตำรวจต้องมานั่งคิดทบทวน ในกรณีเช่นนี้ กฎหมายยังใช้งานได้ผลอยู่หรือไม่ ที่พระเอกตามสืบสาวจนถึงตัวการก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสืบของตำรวจไม่ใช่หรือ
ท่ามกลางความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม ท่ามกลางภาพลักษณ์ที่ดีงามน่าชื่นชม อาจมีเบื้องหลังที่ฟอนเฟะและถูกปกปิด ยังมีบางอย่างที่กฎหมายล้มเหลวไม่อาจใช้งาน แล้วตำรวจผู้รักษากฎหมายจะเลือกทางไหน
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ การรู้ว่านักแสดงที่เลือกมามีอะไรดีก็ทุ่มเข้าหาทางนั้นให้มาก ทำให้ เจสัน สเตแธม ได้เล่นบทแอ็คชันสไตล์โหดดิบมากกว่าเรื่องก่อนๆ สะใจคนดูคอแอ็คชันยิ่งนัก ขณะเดียวกัน ก็วางบทและไดอะล็อกมาให้มีชั้นเชิง มีแง่มุมให้ชวนคิด ทำให้ออกจะถูกใจนายแพทอยู่ไม่น้อย จนคิดอยากมีอาชีพคนเลี้ยงผึ้งขึ้นมาในช่วงเวลานั่งดูกันเลยทีเดียว
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | The Beekeeper / นรกเรียกพ่อ |
กำกับ | David Ayer |
เขียนบท | Kurt Wimmer |
แสดงนำ | Jason Statham, Emmy Raver-Lampman, Bobby Naderi, Josh Hutcherson, Jeremy Irons |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ระทึกขวัญ |
เรท | R |
ความยาว | 105 นาที |
ปี | 2024 |
สัญชาติ | สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 11 มกราคม 2024 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Cedar Park Entertainment, Miramax, Punch Palace Productions |
คะแนนรีวิวหนัง นรกเรียกพ่อ
พล็อตและบท - 7.5
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 7.5
งานถ่ายภาพ และเทคนิคพิเศษ - 7.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.5
7.5
The Beekeeper
หนังสไตล์น้ำผึ้งหยดเดียวที่ลุกลามใหญ่โตที่ชวนสะใจดีไม่หยอก หยิบเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังเป็นประเด็นไปทั่วโลกมาเล่า แล้วใช้ตัวละครประเภทฉายเดี่ยวที่มีฝีมือระดับพระกาฬและใครๆ ก็เกรงกลัวมาเป็นพระเอก หนังมีแง่มุมน่าสนใจอยู่พอสมควรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้กฎหมายจัดการกับผู้กระทำผิด การเป็นศาลเตี้ยที่ลุกขึ้นจัดการเมื่อกฎหมายมันล้มเหลวในการจัดการ รวมทั้งการเป็นคนใหญ่คนโตแต่เบื้องหลังฟอนเฟะ อีกด้านหนังมันก็เปิดให้ เจสัน สเตแธม ได้ออกลีลาบู๊ได้มากกว่าเรื่องก่อนๆ เหมือนจะค่อยสมเป็นหนังที่แกแสดงหน่อย แถมบางช่วงยังโหด ดิบ และดุดัน ชวนหวาดเสียวอีกต่างหาก