
เริ่มต้นเดือนเมษาหน้าร้อน มีหนังจากเกมเข้ามาฉายในบ้านเราด้วยแหละครับ คราวนี้เป็น ‘A Minecraft Movie’ หรือชื่อไทย ‘ไมน์คราฟต์ มูฟวี่’ หนังที่หยิบโลกเหลี่ยมจัดจากเกมไมน์คราฟต์ที่ไม่ได้มีเรื่องราวตายตัว มาขีดเขียนเป็นบทหนัง นัยว่าเป็นอีกความเป็นไปได้อีกรูปแบบหนึ่งของเกมๆ นี้นั่นเอง
คิดเห็นเช่นไรกับหนังจากเกมเรื่องนี้?
หนังหยิบเอาคาแรกเตอร์ที่คอเกมชื่นชอบมาสร้างเป็นเรื่องเป็นราว ให้คนสี่คนที่หลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ต้องหาทางกลับออกมาสู่โลกจริง และได้พบเจอกับนักคราฟต์ตัวกลั่นที่คอยท้าทายพวกเขาให้กล้าหาญและสร้างสรรค์ หนังใส่แบ็กกราวด์เรื่องจินตนาการที่ถูกบีบคั้นเข้ามาทำให้ตัวละครต่างมีปมอย่างเดียวกัน เล่าเรื่องอย่างอารมณ์ดี มีหลายมุกที่ชวนขำร่วน ขณะที่ตัวละครแม้จะเป็นตัวร้ายแต่ก็ยังดูน่ารัก คงเพราะความเหลี่ยมของมันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม โดยรวมมันก็ยังดูกลางๆ ถ้าไม่ใช่แฟนเกมจริงก็อาจจะไม่อินอะไรมากนัก แต่ต้องบอกว่า อย่าลืมรอจนหนังจบจะมีเซอร์ไพรส์ด้วยนะ
เรื่องย่อหนัง ‘A Minecraft Movie’
มันคือเรื่องราวของ แกเร็ต (Jason Momoa จากหนัง ‘Aquaman’), เฮนรี่ (Sebastian Hansen จากหนัง ‘Just Mercy’), นาตาลี (Emma Myers จากซีรีส์ ‘Wednesday’) และดอว์น (Danielle Brooks จากซีรีส์ ‘Peacemaker’) คนทั้งสี่ที่ต้องไปดิ้นรนอยู่ในโลกโอเวอร์เวิลด์ ดินแดนแปลกประหลาดเปี่ยมจินตนาการ ที่ทุกอย่างล้วนเป็นเหลี่ยม แถมยังเปิดให้เราสามารถสร้างสรรค์ทุกอย่างได้ตามใจ
ในช่วงที่พวกเขาพยายามจะกลับสู่โลกปกติของตนเอง ก็ได้พบกับ สตีฟ (Jack Black จากหนัง ‘Borderlands’) ชายร่างท้วมที่ดูจะช่ำชองกับดินแดนแห่งนี้มากที่สุด จากนั้นมันก็กลายเป็นการผจญภัยที่ท้าทายให้คนทั้งห้าต้องประสานเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างสรรค์โอกาสในการกลับคืนสู่โลกจริง
รีวิวหนัง ‘ไมน์คราฟต์ มูฟวี่’
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเล่นเกม แต่ไม่มีเวลาและเงินมาเล่นซะมากกว่า แน่นอนว่า ต้องรู้จักวิดีโอเกมสุดฮิต Minecraft อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เพียงได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเอาตัวเองไปสัมผัส ทำให้ไม่อาจพูดถึงหลายสิ่งที่เชื่อมโยงหนังกับเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของฉากและคาแรกเตอร์ต่างๆ เพราะฉะนั้น ผมคงต้องขอข้ามในส่วนนั้น ๆ ไปละกัน
จากหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราได้รู้จักกับ “โอเวอร์เวิลด์ (Overworld)” ดินแดนมหัศจรรย์ที่ทุกจินตนาการจะเป็นจริงได้ตราบได้ที่สิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นได้ด้วยกล่องสี่เหลี่ยม มันอาจไม่ใช่ดินแดนที่ดูเม้กเซ้นส์ แต่มันมีจริงในโลกของหนังและเกม หนังพาให้คนทั้งสี่ที่ไม่ค่อยจะรู้จักกันสักเท่าไหร่ (จะมีก็แค่ นาตาลี กับ เฮนรี่ เท่านั้น เพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกัน) ได้เข้ามาผจญภัยในดินแดนนี้ และต้องร่วมกันหาทางกลับสู่โลกจริง
source: Warner Bros. Entertainment
ขณะที่โอเวอร์เวิลด์เป็นดินแดนตัวแทนแห่งความสดใสและสร้างสรรค์ ในหนังนั้นก็มีอีกโลกอย่าง “เดอะเนเธอร์ (The Nather)” อันเป็นดินแดนในอีกมิติที่ต่อต้านความคิดสร้างสรรค์ นำโดยมัลโกชา (พากย์เสียงโดย Allan Henry) ที่มีสมุนเป็นพิกลิน กองกำลังหมูวายร้ายกลุ่มใหญ่ ภาพลักษณ์ของที่นั่นดูเหมือนนรกขุมหนึ่งเลยทีเดียว
แล้วหนังก็พาคนทั้งสี่ที่หลุดเข้าไปและต้องการจะกลับออกมา ได้เจอกับตำนานนักคราฟต์อย่างสตีฟ ที่รู้จักดินแดนนี้ดีที่สุด ก็เขาเป็นคนที่สร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาเลยนี่นา แต่ว่านะ เมื่อมัลโกชาเองก็ต้องการ “ออร์บ” ก้อนลูกบาศก์ที่มีพลังวิเศษ ทำให้โอเวอร์เวิลด์ถูกกกองกำลังหมูร้ายรุกราน โอเวอร์เวิลด์กลายเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย
เมื่อความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญคือสิ่งที่สตีฟต้องทำหน้าที่โค้ชผู้พาให้พวกเขาค้นพบมัน หนังเรื่องนี้จึงรวบรวมคาแรกเตอร์มากหน้าที่น่าจะปรากฏอยู่ในเกม ไม่ว่าจะเป็น กองกำลังพิกลิน, ซอมบี้, วิลเลจเจอร์ชาวชุมชน รวมไปถึงอีสเตอร์เอ้กอีกหลายต่อหลายอันที่เชื่อว่าคอเกมต้องพอใจ
จากการเป็นคนขุดเหมือง วันต่อมาสตีฟก็กลายเป็นนักคราฟต์ เมื่อเขาใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างดินแดนโอเวอร์เวิลด์ขึ้นมา บทหนังพยายามจะใส่ไอเดียลงไปกับทุกคาแรกเตอร์สำคัญ ทั้งแกเร็ต สุดยอดนักเก็บขยะที่ยังหลงอยู่กับความสำเร็จในวันวาน นาตาลี พี่สาวที่ชอบตั้งคำถามกับทุกสิ่งของเฮนรี่ น้องชายที่เข้ากับใครไม่เก่งแม้เป็นเลิศด้านความคิดสร้างสรรค์ ส่วนดอว์นก็เป็นนายหน้าปากแซ่บ ไม่เว้นแม้แต่มัลโกชา ที่ตัวเธอเองก็มีที่มาอยู่เช่นกัน
อ้อ แล้วก็ยังมีตัวละครรับเชิญที่รับบทโดย Jennifer Coolidge จากซีรีส์ ‘The White Lotus’ บทของเธอสร้างสีสันเสริมให้กับหนังได้ด้วยเช่นกัน
Taglines: Be There and Be Square.
จริงๆ ก็ต้องถือว่านานมากแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ดูหนังด้วยแว่น 3 มิติ ซึ่งกับเรื่องนี้แม้ CG จะดูดี สีสันสดใส แต่ถ้าพูดเรื่องความลึก มิติภาพที่ได้มากกว่า 2 มิติธรรมดา ยังถือว่าไม่มากนัก จึงอาจยังไม่ถึงกับจำเป็นต้องดูแบบ 3 มิติก็ได้ถ้างบยังจำกัดจำเขี่ยอยู่
ส่วนในด้านเรื่องราวนั้น นายแพทรู้สึกชื่นชมในด้านการใส่แง่มุมเรื่องความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการที่ไม่ถูกปิดกั้นเข้ามา และหลายมุกก็ชวนฮา แต่โดยรวมก็ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ถึงกับประทับใจ ส่วนที่ทำให้หนังดูน่าสนใจก็คงเป็นการแทรกพาร์ทมิวสิคัลเข้ามาในหนังแบบพอเป็นน้ำจิ้ม นอกจากนี้ ในตอนจบหนังก็ยังมีฉากพิเศษฉากแถมเพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งก็จะเป็นกลางเครดิตและอีกตัวก็เป็นท้ายเครดิตเลย ซึ่งเชื่อว่า สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของเกมๆ นี้ก็น่าจะร้องว้าวกันแน่ๆ เลย
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | A Minecraft Movie / ไมน์คราฟต์ มูฟวี่ |
กำกับ | Jared Hess จากหนัง ‘Napoleon Dynamite’ และ ‘Nacho Libre’ |
เขียนบท | Chris Bowman, Hubbel Palmer, Neil Widener, Gavin James, Chris Galletta |
แสดงนำ | Jason Momoa, Jack Black, Sebastian Hansen, Emma Myers, Jennifer Coolidge, Danielle Brooks |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ผจญภัย, คอมเมดี้, ครอบครัว, แฟนตาซี |
เรท | PG |
ความยาว | 101 นาที |
ปี | 2025 |
สัญชาติ | สวีเดน, สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 3 เมษายน 2025 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Warner Bros., Legendary Entertainment, Vertigo Entertainment, Mojang Studios |
คะแนนรีวิวหนัง ไมน์คราฟต์ มูฟวี่
พล็อตและบท - 6.5
การแสดง - 6.5
การดำเนินเรื่อง - 6
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชั่น - 7
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
6.6
A Minecraft Movie
หนังหยิบเอาคาแรกเตอร์ที่คอเกมชื่นชอบมาสร้างเป็นเรื่องเป็นราว ให้คนสี่คนที่หลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ต้องหาทางกลับออกมาสู่โลกจริง และได้พบเจอกับนักคราฟต์ตัวกลั่นที่คอยท้าทายพวกเขาให้กล้าหาญและสร้างสรรค์ หนังใส่แบ็กกราวด์เรื่องจินตนาการที่ถูกบีบคั้นเข้ามาทำให้ตัวละครต่างมีปมอย่างเดียวกัน เล่าเรื่องอย่างอารมณ์ดี มีหลายมุกที่ชวนขำร่วน ขณะที่ตัวละครแม้จะเป็นตัวร้ายแต่ก็ยังดูน่ารัก คงเพราะความเหลี่ยมของมันนั่นเอง อย่างไรก็ตาม โดยรวมมันก็ยังดูกลางๆ ถ้าไม่ใช่แฟนเกมจริงก็อาจจะไม่อินอะไรมากนัก แต่ต้องบอกว่า อย่าลืมรอจนหนังจบจะมีเซอร์ไพรส์ด้วยนะ