ถ้าพูดถึงหนังสงครามแล้ว อาจนับเป็นฌ็องหนึ่งที่นายแพทไม่ค่อยจะเลือกดู ส่วนหนึ่งไม่ชอบการรบราฆ่าฟัน จึงมักจะหมวดหมู่ท้ายๆ ที่จะเลือกมาดู แม้จะมองเห็นชื่อของมันมาตลอดและคิดว่าจะดูมาตลอดตั้งแต่เริ่มฉายทางเน็ตฟลิกซ์เลยก็ตาม จนมาถึงวันที่มันได้รับรางวัลอะคาเดมีอะวอร์ดส์เข้านี่แหละ เลยคิดว่าถึงเวลาเปิดดูเข้าสักที ‘All Quiet on the Western Front’ แต่ถ้าเรียกด้วยชื่อไทย ก็จะรู้สึกคุ้นหูอย่างยิ่ง ‘แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’
หนังเรื่องนี้ มันเคยเป็นหนังสือมาก่อน ผลงานการเขียนของ Erich Maria Remarque นักเขียนชาวเยอรมันคนที่เขียนเรื่องแรกก็ปัง เขียนขึ้นในปี 1929 ก่อนย้ายไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์จนถึงปี 1939 จากนั้นก็ย้ายอีกทีไปอยู่อเมริกา ทว่ากลับไปตายที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 1970 เขาเขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากการที่เคยเป็นทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และมันเคยเป็นหนังสัญชาติอเมริกาในปี 1930 คว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จ ก่อนที่จะกลายเป็นหนังฉายทางทีวีในปี 1979 ซึ่งก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาครองได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันไหน ผมก็ไม่เคยได้อ่านและดู และนี่คือเวอร์ชันแรกเลยแหละที่ได้สัมผัส
เรื่องย่อหนัง ‘All Quiet on the Western Front’
มันเป็นเรื่องพอล (Felix Kammerer/เฟลิกซ์ คัมเมอเรอร์ นักแสดงชาวออสเตรียที่เล่นหนังยาวครั้งแรก) เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดคนหนึ่งที่อาสาเข้าร่วมรบภายใต้ธงชาตเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 เด็กหนุ่มที่น่าจะอยู่ในวัยไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องออกไปร่วมรบด้วยซ้ำ หนังบอกเล่าว่าเขากระหายจะได้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามถึงขั้นปลอมลายเซ็นของพ่อแม่เลยด้วยซ้ำ เขากับเพื่อนอย่าง อัลเบิร์ต (Aaron Hilmer) และมุลเลอร์ (Moritz Klaus) จึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทหาร เริ่มต้นด้วยความตื่นเต้นลิงโลดใจ ก่อนจะได้รับรู้ความเป็นจริงเมื่อไปอยู่กลางสนามเพลาะที่แสนเฉอะแฉะและเต็มไปด้วยความรุนแรง
ที่นั่น เขาได้รู้จักกับเพื่อนทหารอีกหลายคน หนึ่งในนั้น คือ แคทซินสกี้ หรือที่เขาเรียกว่า แคท (Albrecht Schuch) ชายหนุ่มที่อ่านหนังสือไม่ออก พวกเขาได้ใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่ ท่ามกลางความรู้สึกที่หลายหลาก แต่ก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในวันที่สงครามยังไม่จบสิ้น
รีวิวหนัง ‘แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’
ระหว่างดู อาจไม่รู้สึกว่าแตกต่างอะไรนักจากหนังสงครามเรื่องอื่น ด้วยเพราะหนังมันเล่าถึงภาพของความเลวร้ายและโหดร้ายของสงคราม ภาพของความรุนแรงกลางสนามรบ ยิงปืนใส่กัน มีคนบาดเจ็บล้มตาย ความเจ็บปวดใจเมื่อต้องเห็นเพื่อนรักตายไปต่อหน้าต่อตา คนแล้วคนเล่า
ภาพของสงครามที่ไม่รู้จุดเริ่มต้นมันเกิดจากตรงไหนอย่างไรแต่บทลงท้ายคือความสูญเสียเสมอมา ภาพของนายทหารรุ่นใหญ่ที่นั่งชูบนโต๊ะอาหารแกล้มด้วยไวน์สุดหรูที่ตัดกับสภาพของสนามเพลาะที่เต็มไปด้วยดินโคลน แอ่งน้ำ ร่องลึกที่ถูกระเบิดโจมตี ภาพของบรรดาทหารที่วิ่งออกไปรับกระสุนก่อนร่วงผล็อยทีละคน ภาพของการสิ้นสุดสงครามด้วยเพียงการเจรจาระหว่างนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ตัวไม่ต้องเปื้อนโคลนและไม่ต้องเสี่ยงตาย ก่อนที่จะกลายเป็นความว่างเปล่าเพราะไม่รู้ว่าที่ผ่านมาสู้กันเพื่อใคร ตายไปเพื่อใคร
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง พลทหารพากันโห่ร้องดีใจ แต่มีกี่คนที่จะได้กลับบ้าน ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่แสนเลวร้ายเพราะเพื่อนๆ พากันตายจาก ครั้นจะบอกว่าเราโชคดีรอดมาได้ก็แสนกระดากปาก สงครามให้อะไรกับใคร แต่ไม่เคยให้อะไรดีๆ กับคนเป็นพลทหารเลย
ทั้งหมดที่ว่ามา ถูกเล่ามาหมดแล้วจนแทบไม่เหลือมุมอื่นใดให้แตกต่าง แต่สาส์นที่หนังบอกเล่ากลับยังคงทำงานได้อย่างเต็มกำลัง เพราะมันคือการเล่าถึงชีวิต มนุษย์ทุกคนล้วนมีเพื่อน เราเสียน้ำตาเมื่อเห็นเพื่อนสิ้นลมหายใจลงตรงหน้า เราทุกคนล้วนกลัวความตาย การถูกสั่งให้ออกไปรับกระสุนไม่มีใครต้องการ ขณะเดียวกันก็มีอารมณ์ในด้านร้ายๆ ที่บางครั้งเราก็สับสนในตัวเอง เราต้องสาดกระสุนเข้าใส่คนอื่นเพียงเพราะอยู่ละชาติกันพร้อมๆ กับที่เรารู้สึกผิดที่เขากำลังจะตายเพราะฝีมือเรา สงครามคือสถานที่เปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นคนบ้า
สิ่งที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้มีอยู่เต็มเรื่องนั่นคือ งานภาพ เราจะพบว่าท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม เราอึ้งไปกับงานภาพที่สวยงามตื่นตาเกินบรรยาย ไหนจะมุมกล้องที่เน้นแฮนด์เฮลด์และเดินตามตัวละคร พาให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเป็นพลทหารคนหนึ่งที่เดินอยู่ท่ามกลางสงคราม น่าเสียดายอยู่เหมือนกันว่า เราไม่ได้มีโอกาสชมผ่านจอยักษ์ภายในโรงภาพยนตร์ เพราะไม่ใช่แค่งานภาพ แต่ยังรวมไปถึงงานด้านเสียง ดนตรีประกอบที่ทำงานได้โดดเด่น มีผลต่อจิตใจและอารมณ์อย่างสูงจนรู้สึกเจ็บปวดไปกับสงครามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ได้เห็นภาพของวัยรุ่นคนหนึ่งที่ลิงโลดใจจะได้เป็นทหารร่วมรบเพื่อชาติ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้อยากเป็นขนาดนั้น อาจเพราะถูกรัฐสร้างภาพจนมองว่าการทำเพื่อชาติด้วยการเสี่ยงชีวิตจับปืนออกรบมันเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ แต่สิ่งที่เขาได้เห็นด้วยตา มีประสบการณ์จริงกลางสนามรบ ทำให้รอยยิ้มนั้นเหือดหายไปอย่างสิ้นเชิง จากความตื่นเต้นกลายเป็นความกลัวและความสิ้นหวัง
เมื่อเรื่องเดินไปถึงช่วงท้าย หนังเล่าเรื่องที่ทั้งเซอร์ไพรส์ทั้งเจ็บใจ สงครามมันช่างย่ำแย่เสียเหลือเกิน
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | All Quiet on the Western Front / แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง |
กำกับ | Edward Berger |
เขียนบท | Edward Berger, Lesley Paterso, Ian Stokell |
แสดงนำ | Felix Kammerer, Albrecht Schuch, Aaron Hilmer, Edin Hasanovic, Daniel Brühl |
แนว/ประเภท | แอ็คชัน, ดราม่า, สงคราม |
เรท | R |
ความยาว | 148 นาที |
ปี | 2022 |
สัญชาติ | เยอรมนี |
เข้าฉายในไทย | 28 ตุลาคม 2022 (ทาง Netflix) |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Amusement Park Films, Gunpowder Films, Sliding Down Rainbows Entertainment, Anima Pictures, Netflix |
แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
พล็อตและบท - 8.3
การแสดง - 8.3
การดำเนินเรื่อง - 8.3
เพลงและดนตรีประกอบ - 8.6
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 9.3
8.6
All Quiet on the Western Front
ได้เห็นภาพของวัยรุ่นคนหนึ่งที่ลิงโลดใจจะได้เป็นทหารร่วมรบเพื่อชาติ มองว่าการร่วมรบเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต แต่ส่งที่เขาได้เห็นด้วยตาหลังจากนั้น คือประสบการณ์จริงกลางสนามรบ ทำให้รอยยิ้มนั้นเหือดหายไปอย่างสิ้นเชิง จากความตื่นเต้นกลายเป็นความกลัวและความสิ้นหวัง หนังเต็มไปด้วยงานถ่ายภาพที่สวยงามอย่างมาก ดนตรีประกอบก็ทรงพลัง สมควรแล้วที่ได้รับรางวัลออสการ์