แม้ว่าหนังรถแข่งจะยังคงมีการสร้างกันมาเป็นระยะ แต่ก็ไม่เคยห่างหาย ส่วนหนึ่งเพราะเทคโนโลยีการถ่ายภาพมันรุดหน้าไปเรื่อย มันเลยยังมีความใหม่ให้บอกเล่าที่มีจุดต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ ‘F1® THE MOVIE‘ หรือชื่อไทย ‘F1 เดอะ มูฟวี่’ ที่เป็นหนัง Apple Originals แต่ได้เข้าฉายในโรงหนังทั่วโลก โดยเฉพาะในระบบ IMAX ก็มันเขียนว่า Filmed for IMAX นี่นา
คิดเห็นเช่นไรกับหนังรถแข่งเรื่องนี้?
เรื่องย่อหนัง ‘F1: The Movie‘
ซอนนี่ เฮยส์ (Brad Pitt จากหนังเรื่อง ‘Babylon’ และ ‘Bullet Train’) อดีตนักแข่งตัวเต็งแห่ง F1 ในยุค 90’s ที่ผู้ยังไม่เคยได้เป็นที่หนึ่ง หลังประสบอุบัติเหตุจนร้างราวงการไปนาน เขาก็กลายเป็นผีพนันที่ใช้ชีวิตกินนอนในรถบ้าน ดูเหมือนชีวิตของเขาจะไม่มีวันกลับมารุ่งโรจน์ แต่เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อนดี
รูเบน (Javier Bardem จากหนังเรื่อง ‘Dune Part One’) เดินเข้ามาชักชวนซอนนี่ให้เข้าร่วมทีมนักแข่งรถฟอร์มูล่าของเขาที่กำลังจะถูกบังคับขายทีม เหตุเพราะยังไม่เคยได้คะแนนใดๆ ในปีนี้ รูเบนคาดหวังให้เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขาคนนี้มาช่วยกอบกู้ทีม แต่นั่นหมายถึงเขาจะต้องมาเข้าคู่ร่วมงานกับเด็กใหม่ไฟแรงอย่าง โจชัว เพียร์ซ (Damson Idris จากหนังเรื่อง ‘Outside the Wire’) นักแข่งหนุ่มผู้วาดหวังจะสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง
การตัดสินใจเข้าร่วมสู้ศึกฟอร์มูล่าวันครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ เคท (Kerry Condon จากหนังเรื่อง ‘The Banshees of Inisherin’) ผอ.เทคนิคที่ดูแลการพัฒนารถ และได้ค้นพบว่า เพื่อนร่วมทีมคือคู่แข่งที่ดุเดือดที่สุด และหนทางแห่งความสำเร็จนี้ไม่อาจลุล่วงได้เพียงลำพัง
รีวิวหนัง ‘F1 เดอะ มูฟวี่’
เอาจริง ๆ โครงเรื่องมันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรอกนะ พล็อตของมันคือเรื่องของคนแก่ที่เคยเก่งแต่ตกอับ ได้โอกาสกลับมาแก้มืออีกครั้งเพราะได้เพื่อนเก่าชักชวน ก่อนเผชิญหน้ากับเด็กวัยหนุ่มกำลังห้าวแต่ต้องร่วมมือกันเพื่อชัยชนะ แต่เพราะมันเป็นผลงานจาก โจเซฟ โคซินสกี้ คนที่กำกับ ‘Top Gun: Maverick’ ผู้ที่ใช้การเล่นจริงกับของจริงและการถ่ายทำที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ในมุมมองและเหตุการณ์เดียวกับตัวละครนั่นแหละ ที่สร้างประสบการณ์การดูที่สดและสมจริงขึ้นมา
ทีมงานเล่นเอากล้องไปติดกับตัวรถแข่งฟอร์มูล่าวัน แล้วให้นักแสดงวัยเก๋าอย่าง แบรด พิตต์ กับนักแสดงวัยหนุ่มอย่าง แดมสัน ไอดริส เข้าไปนั่งในรถแข่งจริง ขับจริง ในสนามจริง คนดูจริง ร่วมกับนักแข่งคนอื่น มันจะไม่ให้คนดูรู้สึกสมจริงได้อย่าง มันมีอะไรสมจริงไปมากกว่าอีกมั้ยนั่นแหละครับ
กับเรื่องราวที่ใครก็อาจคาดเดากันไป ถูกมากถูกน้อยไม่ว่ากัน แต่สิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกสนุกและอิ่มเอมไปกับเรื่องราว มันคือ เสน่ห์ส่วนตัวของแบรด ที่ไม่ว่าจะเดิน ยิ้ม พูดจา ยังไงก็เท่จนผู้ชายด้วยกันยังอดรู้สึกไม่ได้ คงไม่แปลกอะไรถ้าจะมีใครสักคนในนั้นยินยอมตกเป็นทาสรักของพ่อหนุ่มตกอับเจ้าเสน่ห์คนนี้
อีกส่วน มันคือการทำงานร่วมกันอย่างลงตัวของงานภาพ งานตัดต่อ ที่ผสมผสานกับเสียงดนตรีและเพลงประกอบกันได้อย่างเข้าขา สร้างความระทึกได้ทุกวินาทีที่เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มและโลดแล่นไปทั่วสนามแข่ง คนดูอาจหายใจไม่ทั่วท้องเพราะทุกวินาทีของนักแข่งอาจแปรเปลี่ยนเป็นหายนะได้ทุกเมื่อ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เพลงที่ทีมงานเลือกมานั้นโดนใจทั้งหมด ส่วนหนึ่งคงเพราะได้ประสบการณ์การรับชมจากระบบเสียงที่ดีเยี่ยมในโรง IMAX (ได้ยินว่า คนที่ดูด้วยระบบ 4DX ก็ชื่นชอบไม่ต่างกัน)
มันจึงเป็นหนังที่สมควรจะรับชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้นจริงๆ
ด้วยบุคลิกแบบคนบ้าระห่ำของซอนนี่ เฮยส์ เขาน่าจะโดนใจคนดูได้ไม่ยาก คาแรกเตอร์ที่เป็นคนมีบาดแผลทั้งกายและใจ เคยเกือบก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นใน F1 แต่เพราะความบ้าดีเดือดในวัยหนุ่มนั่นแหละที่หยุดหนทางของเขาไว้ตรงนั้น อุบัติเหตุที่ร้ายแรงยังฝากไว้ทั้งแผลเป็นกลางหลัง และความรู้สึกที่ยังติดค้างมาตลอดหลายต่อหลายปี แต่แม้จะห่างหาย เขาก็ยังโหยหา ถึงขั้นกลับมาจับพวงมาลัยลงสนาม ต่อให้ไม่คว้าถ้วยอะไรกลับไปก็ตามที
แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะได้พบเห็นคือ การเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันของสองนักแข่งต่างวัย คนหนึ่งที่เคยบาดเจ็บหนักมาก่อนแต่ความดึงดันยังไม่เปลี่ยนไป กับคนนึงที่มุ่งมั่นยังไม่เคยคว้าแชมป์และไม่เชื่อมือคนวัยเก๋า
นอกจากนี้ หนังรถแข่งเรื่องนี้ ก็ยังพาเราไปพบกับบทบาทของทีมงานฝ่ายต่างๆ ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนารถไปพร้อมๆ กับต้องดึงใจสองนักแข่งให้ประสานกันเป็นสักที ทำให้เราเห็นว่า งานใหญ่จะสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่เบื้องหน้า หากเบื้องหลังก็สำคัญไม่แพ้กัน
ใดๆ ที่เราสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้ มันคือเรื่องของการทำงานเป็นทีมให้สำเร็จลุล่วง ที่ต้องอาศัยหลายสิ่งประกอบกัน ทั้งประสบการณ์ชีวิตที่ช่วยลดความดึงดัน ความมุทะลุไม่สนคนรอบข้าง เปิดตาให้เห็นว่าถ้าลดมันลงมา แล้วทำอีกอย่าง ผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปอีกทางและกลายเป็นรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ ขณะเดียวกัน การจะชนะในเกมที่มีกติกา กลยุทธ์คืออีกสิ่งสำคัญที่จะพาลัดสู่จุดหมายได้
รวมทั้งต้องตอบคำถามในใจตัวเองให้ได้ว่า ในเวลานี้ เราต้องการสิ่งใด ความสุขของการได้ทำสิ่งนี้อยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ถ้าตอบมันได้ เราอาจพบตัวเองที่อิ่มเอมกว่าที่เคยเป็น
สุดท้าย ด้วยเพลงประกอบจากผลงานของ Hans Zimmer ทำเราติดตามทั้งเรื่อง และยาวไปจนถึงตัวหนังสือตัวสุดท้ายบนจอยักษ์ได้เลย
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | F1® THE MOVIE / F1 เดอะ มูฟวี่ |
กำกับ | Joseph Kosinski |
เขียนบท | Joseph Kosinski, Ehren Kruger |
แสดงนำ | Brad Pitt, Kerry Condon, Javier Bardem, Damson Idris, Tobias Menzies |
แนว/ประเภท | กีฬา, แอ็คชัน, ดราม่า |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 155 นาที |
ปี | 2025 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 26 มิถุนายน 2025 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Apple Original Films, Warner Bros., Monolith Pictures, Jerry Bruckheimer Films, Plan B Entertainment |
คะแนนรีวิวหนัง F1 เดอะ มูฟวี่
พล็อตและบท - 7.5
การแสดง - 7.5
การดำเนินเรื่อง - 8.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 9
การถ่ายภาพ และเทคนิคพิเศษ - 8.5
8.2
F1 The Movie
หนังรถแข่งที่พาเราไปสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวันจากหลายมุมของโลกในระดับที่สมจริงมากที่สุด ด้วยเรื่องราวที่ไม่ได้พิเศษหรือแปลกใหม่ ส่วนใหญ่คาดเดาได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะหนังรู้จักใช้หลายองค์ประกอบที่ผสมกันอย่างลงตัว พระเอกที่โคตรมีเสน่ห์ การถ่ายทำที่สมจริง ผสานการตัดต่อ ใส่เพลงและดนตรีประกอบที่โคตรมัน มันเลยกลายเป็นหนังที่พาสนุกได้ตั้งแต่ต้นยันจบ