ครั้งหนึ่งเคยมีหนังเรื่องนี้เข้ามาฉายในบ้านเรา เป็นหนังนอกกระแสที่เข้าฉายน้อยโรงและน้อยคนจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อ วันนี้ เมื่อทุกคนอยู่บ้านและหนังเรื่องนี้เข้าฉายในระบบสตรีมมิ่งของ Netflix ก็อาจจะมีหลายคนได้ลองไปทำความรู้จักกับ ‘Leave No Trace’ ชื่อไทย ‘ปรารถนาไร้ตัวตน’ กันมากขึ้นแล้ว
หรือถ้ายังไม่รู้จัก วันนี้ก็คงถือเป็นโอกาสดีดีที่จะได้อ่านในสิ่งที่ผมจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้กันแล้วล่ะ
มันเป็นหนังจาก Sony Pictures ที่สร้างขึ้นในปี 2018 ผลงานหนังดราม่าจากผู้กำกับ Debra Granik ผู้กำกับหญิงเจ้าของผลงาน Winter’s Bone และ Stray Dog งานนี้ได้รับ 100% เต็มจากเว็บมะเขือเน่า ฉะนั้นมันจึงน่าสนใจยิ่งและมิควรต้องพลาดดู
เรื่องย่อหนัง ‘Leave No Trace’
มันเป็นเรื่องราวของพ่อกับลูก วิล (Ben Foster) และทอม (Thomasin Harcourt McKenzie) วิลเป็นทหารผ่านศึกผู้ที่มีความหลังฝังใจอะไรบางอย่าง เขาจึงเลือกจะมีชีวิตอยู่ในป่า ตอนนี้เขาลักลอบใช้ชีวิตอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติอันเป็นที่ต้องห้าม ชีวิตที่ดูเหมือนจะพยายามแปลกแยกออกมาจากสังคม แต่หลายครั้งก็ต้องยอมเข้าเมืองเพิ่มซื้ออาหารและสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ
ชีวิตประจำของพวกเขานอกจากหุงหาและกินอาหารแล้วก็คือการซ้อมหนีด้วยการพรางตัวให้แนบเนียนที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ถูกค้นพบจนได้
สองพ่อลูกถูกจับแยกเพื่อทำการสอบสวนและทำแบบทดสอบบางอย่าง ก่อนถูกพายังสถานที่แห่งหนึ่ง บ้านแห่งใหม่ สถานที่แห่งใหม่ที่ทำให้ทอมได้เรียนรู้บางสิ่งที่ไม่เคยได้เรียนรู้
ก่อนที่พวกเขาจะหนีไปอีกครั้ง…อย่างไร้ร่องรอย
รีวิวหนัง ‘Leave No Trace’
มันเป็นหนังที่ถ่ายสภาพภายในป่าเอาไว้สวยมาก ช่วงเวลาของที่ต้นไม้สีเขียวกินเวลาครึ่งหนึ่งของหนังเลยทีเดียว หนังที่เล่าเรื่องราวของพ่อกับลูกสาวที่ใช้ชีวิตแบบมนุษย์เร่ร่อน แอบหลบซ่อนอย่างไร้ร่องรอยอยู่ในป่า ทว่าลูกสาวก็มักจะเป็นคนทำให้ถูกพบเจอทุกที
ความแตกต่างระหว่างพ่อกับลูกสาว
ตัวพ่อต่างหากที่มีแผลเป็นฝังใจจนเลือกจะหลบลี้หนีผู้คน แต่ลูกสาวไม่ได้คิดอย่างนั้น ในวันที่พวกเขาถูกพบเจอจนพาออกมา หาที่อยู่อาศัยให้ ผู้เป็นพ่อกลับรู้สึกอึดอัดไม่ชอบใจ ที่สุดก็พาลูกสาวที่เริ่มจะชอบชีวิตใหม่นี้แต่ขัดใจพ่อไม่จึงต้องติดตามพ่อไป
เหมือนหนังจะพูดถึงคนสองวัย และพูดถึงกรอบของสังคมมนุษย์
พ่อกับลูกคือคนที่ต่างวัยและต่างประสบการณ์ พ่อเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่เคยผ่านพบความปวดร้ายและกลายเป็นจุดเปลี่ยนแห่งชีวิต จึงหลีกหนีเพื่อไม่ต้องกลับไปพบเจอสิ่งนั้น วันที่เขาต้องกลับมาพบเจอหน้ามนุษย์อีกครั้ง กลับปิดใจไม่ปรับตัว กลายเป็นความอึดอัดแล้วอยากหันหนีกลับไปอยู่ในป่าเช่นเดิม
ขณะที่คนเป็นลูกสาวที่เติบโตมาในป่าโดยไม่เคยพบเจอโลกภายนอก ก็ย่อมอยากจะเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่นั้น ความเป็นอยู่ในบ้านและพบเจอกับผู้คนแม้จะเป็นสิ่งใหม่ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไร้ซึ่งทางเลือกในเมื่อพ่อไม่ยินยอม ทั้งที่พยายามจะยื้อให้พ่ออยู่ด้วยแล้วก็ตามที
สิ่งที่เธอทำได้ก็คงเป็นเพียงยอมตามพ่อไปก่อน จนวันหนึ่งมันคงถึงเวลาที่เธอจะเลือกชีวิตของตัวเองบ้าง
วิพากษ์ถึงกรอบของสังคม
นอกเหนือจะเรื่องความต่างทางความคิดของพ่อกับลูกสาว หนังก็ยังพูดไปถึงกรอบของสังคมมุษย์อีกด้วย ในวันที่สองพ่อลูกถูกพาเข้าเมือง พวกเขาก็ต้องไปทำแบบทดสอบอะไรต่างๆ นานา มีบางคำถามที่ชวนฉุกคิดในใจ
การที่พวกเขาจะได้รับการยอมรับในการอยู่ในสังคม จำต้องมีกรอบบางอย่างที่คนทั่วไปยอมรับได้
หนังจะมีครึ่งหนึ่งที่เป็นฉากนอกป่า อยากจะเป็นบนรถ ข้างถนนในเมือง ในศูนย์อะไรสักที่ หรือแม้กระทั่งในบ้านที่ยินดีรับทั้งสองเข้าไปอยู่ ซึ่งภาพของมันช่างขัดแย้งกับป่าที่สองคนเข้าไปอยู่เหลือเกิน หากแต่สถานที่แหล่งสุดท้ายดูจะเป็นการประนีประนอมกันที่สุดแล้วระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
บางทีเราก็อาจจะอยู่กับความสะดวกสบายกันจนมากเกินไป ปล่อยให้เทคโนโลยีเข้ามาครอบคลุมในชีวิตมากเกิน ทั้งๆ ที่เราก็อยู่กันแบบง่ายๆ ได้ หยิบเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างมาช่วยได้แต่พอดี
แต่การเลือกไปอยู่ป่าแบบวิลก็ดูจะสุดโต่งไปเนอะ
การเดินเรื่องที่เนิบช้า ต้องการความเข้าใจ
หนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง My Abandonment ของ Peter Rock เรื่องอาจจะไม่ได้มีวิธีการดำเนินเรื่องที่เร้าใจอย่างที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ ด้วยการเดินเรื่องที่เรียบเรื่อยเป็นส่วนใหญ่มีช็อตพอให้ตื่นเต้นแทรกเข้ามาบ้างบางที
แค่การได้มองภาพของผืนป่าและต้นไม้สีเขียวก็นับว่าเพลินตามากพอดูแล้ว การเดินเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทำให้เราได้มีเวลาให้สมองและจิตใจได้คิดและเข้าใจตามไป ซึมซับกับช่วงเวลาเหล่านั้นได้เต็มที่แต่อาจจะเป็นศัตรูตัวดีเลยล่ะสำหรับคนที่คาดหวังหรือชมชอบกับหนังที่ต้องตื่นเต้นเร้าใจมีอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลา
ฉากของเหล่าผึ้งเหล่านั้นช่างดูอบอุ่นมาก มันทำให้เราคล้อยตามได้อย่างดี ว่าชีวิตของทอมกำลังก้าวข้ามไปอีกขั้น
เธอเริ่มเติบโตในทางของตัวเองแล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง: Leave No Trace / ปรารถนาไร้ตัวตน
ผู้กำกับภาพยนตร์: Debra Granik
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Debra Granik (screenplay by), Anne Rosellini (screenplay by)
นักแสดงนำ: Thomasin McKenzie, Ben Foster, Dana Millican
ความยาว: 109 นาที
ปี: 2018
แนว/ประเภท: Drama
อัตราส่วนภาพ: 1.85: 1
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/, MPAA/PG
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 12 กรกฎาคม 2018 (เฉพาะ House RCA)
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: BRON Studios, Creative Wealth Media Finance, Harrison Productions
ปรารถนาไร้ตัวตน
พล็อตและบท - 8
การแสดง - 8.5
เพลง/ดนตรีประกอบ - 7.6
การดำเนินเรื่อง - 8.8
งานภาพ - 8.7
8.3
Leave No Trace
ภาพยนตร์ที่หยิบความสุดโต่งของบางชีวิตมาบอกเล่า เรื่องราวของสองพ่อลูกที่พ่อมีปมบางอย่างในอดีต จึงเลือกใช้ชีวิตในป่ากับลูกสาวที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับดูแลสั่งสอนจากพ่อล้วนๆ จนวันหนึ่ง ทั้งสองได้ออกจากป่า ลูกสาวจึงได้มองเห็นโลกภายนอกและปรับตัว ขณะที่พ่อยังจมจ่อมอยู่กับมันไม่อาจก้าวข้ามไปได้ หนังมีแต่สีเขียวที่ชวนจรุงใจ เดินเรื่องเรียบช้าให้เราได้ซึมซับทุกอารมณ์และความคิด