รีวิว Snowpiercer ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง | สโนว์เพียร์ซเซอร์ ฉบับซีรีส์

หลายคนคงเคยได้รับชมเรื่องราวนี้ในแบบฉบับภาพยนตร์มาแล้ว ครั้งนั้น บงจุนโฮ แห่ง Parasite เคยฝากฝีมือเอาไว้ ผู้คนต่างชื่นชมและพูดคุยกันอื้ออึง แต่ทว่ามาบัดนี้ เรื่องราวนั้นถูกหยิบจับมาสร้างเป็นซีรีส์ในชื่อเดียวกัน ‘Snowpiercer’ แต่ชื่อไทยคือ ‘ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง’ และมีฉายให้คนไทยได้ชมกันทาง Netflix

ครั้งนี้มันขยับขยายมาเป็นซีรีส์ ที่บอกเล่าเรื่องราวหลังรถไฟสายสโนว์เพียร์ซเซอร์เริ่มขยับเคลื่อนออกไป 7 ปี แม้จะได้คะแนนจากนักวิจารณ์ที่ได้ดูก่อนเรามาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็เชื่อว่าหลายคนคงสนใจติดตามดูอยู่เป็นแน่

วันนี้ แพทโซนิคจึงหยิบนำมาเขียนให้ได้อ่านกัน

เรื่องย่อซีรีส์ ‘Snowpiercer’

วันหนึ่งที่โลกของเรามีปัญหาโลกร้อนจนเกิดสงคราม เกิดสงครามไม่พอจะมีการแก้ไขสภาวะอากาศของโลกจนผิดพลาดถึงขั้นทำให้โลกหนาวเย็นลงทุกทีจนทุกที่กลายเป็นน้ำแข็ง ในที่สุด มวลมนุษยชาติก็ถูกแช่แข็งและเหลือเพียงไม่มาก ส่วนพวกคนรวยก็พากันขึ้นรถไฟที่จะวิ่งไปรอบโลกโดยไม่มีวันหยุด

ด้วยวิสัยทัศน์ของมิสเตอร์วัลฟอร์ดจึงเกิดรถไฟขบวนนี้ขึ้น

รถไฟขบวนที่ยาว 1,001 ตู้ ที่ไล่มาตั้งแต่ชั้นหนึ่ง ชั้นสองและชั้นสาม แต่ใช่ว่ามีแต่คนรวยเท่านั้น เพราะในวันที่ขบวนรถไฟออกมาเคลื่อนจากท่า เหล่าคนจนก็พยายามฝ่าขึ้นไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาแออัดรวมอยู่ในส่วนท้ายของขบวน มันจึงกลายเป็นรถไฟแห่งชนชั้น

รถไฟคันนี้มี เมลานี (Jennifer Connelly จากหนัง Noah, Only the Brave และ He’s Just Not That Into You)​ หญิงสาวที่ดูแลความเรียบร้อยของผู้โดยสารบนรถไฟ

ผ่านไป 7 ปี วันหนึ่งรถไฟที่วิ่งไม่ยอมหยุดขบวนนี้ก็เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น พวกเขาตามหา เลย์ตัน (Daveed Diggs จากหนัง Wonder, Zootopia และ Blindspotting)​ หนุ่มผิวสีที่อยู่ท้ายขบวนผู้เคยเป็นตำรวจนักสืบมาก่อน เขาถูกตามให้มาสืบสาวคดี

นั่นแหละ เขาจึงได้พบกับตัวละครอีกมากมายและตู้ต่างๆ ที่เขาไม่เคยได้พบได้เห็น

รีวิวซีรีส์ ‘Snowpiercer’

หลายคนที่เริ่มได้เปิดไปดูคงจะได้พบว่า มันไม่ได้ลงมาตูมเดียวทั้งซีซัน เพราะมันจะเพิ่มมาสัปดาห์ละหนึ่งตอน แถมเรื่องราวก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกับในเวอร์ชันหนึ่ง ด้วยเขาระบุว่ามันเกิดขึ้นหลังจากรถไฟเคลื่อนออกจากท่าและแล่นไปรอบโลกมาได้ 7 ปี ซึ่งต่างจากใน ‘สโนว์เพียร์ซเซอร์ ยึดด่วน วันสิ้นโลก’ เวอร์ชั่นหนังที่เล่าเรื่องในช่วง 15 ปีหลังโลกถูกแช่แข็ง

นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลให้เราได้พบกับตัวละครคนละตัวกัน

จินตนาการที่ดูขัดกับความเป็นไปได้ แต่ก็นะ

ในเวอร์ชั่นซีรีส์นี้ ด้วยความยาวที่มีมากขึ้น เราจึงได้เห็นสภาพภายในขบวนในส่วนต่างๆ ได้เจนจัดถนัดตามากขึ้นว่ารถไฟแต่ละส่วนมีห้องอะไรกันบ้าง ถึงมันจะดูเว่อวังอลังการและขัดกับความเป็นจริงไปบ้างก็จำเป็นต้องมองข้ามกันไป

ด้วยเรื่องราวที่มีทั้งจินตนาการเลิศล้ำผสมกับความเป็นไซไฟ เราอาจเชื่อได้ยากว่ารถไฟอะไรจะมีห้องเยี่ยงนั้นอยู่ ทั้งยังป้องกันความหนาวเหน็บจากภายนอกที่มีอุณหภูมิติดลบร้อยองศาได้เป็นอย่างดี การจะเดินจากหัวขบวนไปท้ายขบวนบ่อยๆ ในขณะที่มีทั้งหมด 1,0001 ตู้นั้นจำต้องใช้เวลาไปมากขนาดไหน พวกเขาเอาเวลาที่ไหนไปสร้างรางรถไฟที่วนยาวรอบโลกในทุกทวีป แม้แต่บนภูเขาสูงชันก็ยังไปสร้างได้ พลังงานของรถไฟในเวอร์ชันซีรีส์ก็ไม่แน่จะใช่เครื่องจักรนิรันดร์เหมือนในหนังหรือไม่ ไม่รู้ว่าใช้พลังงานอะไรถึงวิ่งได้ไม่มีหยุดเช่นนั้น ดูขัดกับหลักความคิดที่ยึดติดกันมาเหลือเกิน

แต่ทั้งหมดเราจะมองข้ามมันไปเพื่อความสนุกในการติดตามเรื่อง

ความลับที่รอการไข การปฏิวัติจะเกิดขึ้นหรือไม่?

ในรถไฟขบวนยักษ์นี้มีทั้งห้องอาหาร ห้องเรียน สถานบันเทิง ระบบนิเวศจำลอง ฟาร์มสัตว์ แหล่งเพาะปลูกพืช ทั้งหมดเพื่อหล่อเลี้ยงประชาการบนรถไฟ แต่คนท้ายขบวนกลับได้กินเพียงแท่งโปรตีนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ คนบนตู้ท้ายขบวนเริ่มแผนการยึดตู้รถไฟ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ในปีที่สามก็เคยมีการก่อกบฎมาครั้งหนึ่งและก็ต้องล้มเหลว

ป้อมปราการแห่งชนชั้นที่เคลื่อนไหวได้ มีมิสเตอร์วิลฟอร์ดเป็นเจ้าของและเป็นชื่อที่ลอยวนในหัวคนดูตลอดเวลาว่า

เขาคือใคร?

เลย์ตันถูกเรียกตัวมาเพื่อสืบสาวคดี ทำให้เขาได้พบกับเมลานีผู้เป็นโฆษก และได้พบกับซาราห์คนรักเก่าที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัย เหล่าคนท้ายขบวนก่อเหตุทำร้ายและฆ่าทหารจนถูกขังในลิ้นชัก นั่นเป็นสาเหตุให้ในที่สุดเลย์ตันต้องตัดสินใจรับปากว่าจะช่วยคลี่คลายคดี

เท่าที่เราเห็นสองตอนแรกของ ‘ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง’ นี้ ซีรีส์ดำเนินไปในลักษณะของหนังนักสืบ แต่ใครจะรู้ หลังจากนี้มันอาจพลิกกลายเป็นอย่างอื่นก็ได้

ก็คงต้องลองติดตามกันดู

ชื่อซีรีส์: Snowpiercer / ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง
ผู้สร้าง: Graeme Manson, Josh Friedman
ผู้กำกับ:
ผู้เขียนบท: Bong Joon Ho, Kelly Masterson
นักแสดงนำ: Jennifer Connelly, Daveed Diggs, Mickey Sumner 
แนว/ประเภท: Drama, Sci-Fi,​ Action
จำนวนตอน: ซีซัน 1 จำนวน 10 ตอน, ซีซัน 2 จำนวน 10 ตอน
ช่องทางรับชม: Netflix, TNT
สังกัด/ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์: CJ Entertainment, Studio T, Tomorrow Studios