รีวิวซีรีส์ Fallout ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู | ผจญภัยแดนร้าง สร้างจากเกมดัง

ซีรีส์และหนังหลายเรื่อง ถูกขีดเขียนเรื่องราวด้วยองค์ประกอบที่คอเกมเคยคลั่งไคล้ แล้วจากนั้น มันก็กลายเป็นผลงานให้ทั้งคนที่เป็นและไม่เป็นคอเกมได้สัมผัส หลายเรื่องเจอกระแสบ่นยับ แต่ก็มีแค่บางเรื่องเท่านั้นแหละที่จะได้รับคำชื่นชม ถ้าจะสนใจนับแค่เรื่องที่ทำออกมาแล้วได้ผลตอบรับดี นี่ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ‘Fallout‘ หรือในชื่อไทย ‘ฟอลล์เอาท์ ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู’ อีกซีรีส์ที่ดัดแปลงสร้างจากเกมชื่อดัง

ความเห็นส่วนตัวของนายแพท

ในฐานะของคนที่ไม่เคยเล่นวิดีโอเกมชื่อดังเรื่องนี้มาก่อน พบว่าตนเองสนุกไปกับโลกที่ซีรีส์มันเล่าเรื่องอย่างมาก เรื่องราวของสามตัวละครหลักที่ต้องผจญภัยไปบนพื้นผิวโลกที่แห้งแล้งกันดาร อันเป็นผลจากระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายล้างจนกัมมันตรังสีฟุ้งกระจาย ส่งผลให้ชีวิตข้างบนโคตรยากลำบาก แต่หนึ่งในนั้น เป็นลูซี่ สาวแกร่งโลกสวยที่เพิ่งออกมาจากหลุมหลบภัย และได้เจอกับแม็กซิมัส ชายหนุ่มที่เคยอยู่ระดับล่างแต่กลายเป็นอัศวินชุดเกราะ กับอีกคน เดอะกูล ที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์และนักล่าค่าหัว

ซีรีส์พาเราไปกับพบกับโลกในหลุมที่ดูวินเทจ และโลกบนดินที่ดูโหดร้าย พบเจอกับความลับของอดีตที่เคยถูกปิดซ่อนเอาไว้ 8 ตอนที่ชวนติดตามจนต้องยกนิ้วให้ เป็นไปได้ก็อยากจะดูซีซันสองต่อเลย

เรื่องย่อซีรีส์ ฟอลล์เอาท์ ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู

มันเป็นเรื่องราวการผจญภัยของตัวละครหลัก ๆ สามตัวที่เผชิญกับโลกในวันที่ล่มสลายเพราะภัยระเบิดนิวเคลียร์ ในเวลานั้นมันกลายเป็นโลกใหม่ที่คนบางส่วนไม่เคยได้รู้จักมันมาก่อน เพราะพวกคนรวยบางกลุ่ม สามารถมีชีวิตอย่างผาสุขได้ต่อในหลุมหลบภัยที่ถูกเรียกว่า วอลท์ เช่นเดียวกันกับ ลูซี่ แมคลีน (Ella Purnell จากซีรีส์ ‘Yellowjackets’) ที่เกิดและเติบโตอยู่ในช่วงที่เวลาผ่านไป 200 ปี จึงได้พบกับเหตุอันไม่คาดฝันและออกมาเพื่อตามหาพ่อที่ถูกจับตัวไป

และนั่นทำให้เธอได้พบกับอีกสองคน หนึ่งเป็น แม็กซิมัส (Aaron Moten จากหนังเรื่อง ‘Emancipation’) ชายหนุ่มผิวดำที่เข้าร่วมกับกลุ่มภราดรภาพ ที่ใช้ระบบทหารในการปกครองแต่ก็ดันมีนักบวชเป็นคนสำคัญ เขาได้รับหน้าที่เป็นคนรับใช้ของอัศวินชุดเกราะ กับอีกหนึ่ง เขาถูกเรียกว่า เดอะกูล (Walton Goggins จากหนังเรื่อง ‘The Hateful Eight’) มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว นักล่าค่าหัวผู้ที่พร้อมจะสังหารทุกคนที่มาขวางทาง

รีวิวซีรีส์ Fallout

นายแพทไม่ใช่คอเกม ไม่ได้รู้จักมักจี่กับเกมดังกล่าวจนสามารถจะให้ความเห็นเรื่องการดัดแปลงจากเกมชื่อดังได้อย่างใครเขา แต่นี่คือการรีวิวซีรีส์จากความรู้สึกระหว่างดูแบบเพียว ๆ

ไอเดียของ ‘แดนร้าง’ หลังภัยนิวเคลียร์ล้างโลก

เริ่มต้นด้วยไอเดียของการสร้างสรรค์พล็อตเรื่อง ไม่ว่าเวอร์ชันเกมจะระบุไว้ละเอียดมากมายเพียงใด แต่ในเวอร์ชันซีรีส์ มันเล่าเรื่องของโลกอนาคตที่ชวนทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแตกต่างในเวลาเดียวกัน มนุษยชาติที่สร้างหลุมหลบภัยใต้ดินขึ้นมา มีผนังตะกั่วป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่ให้กัมมันตรังสีแผ่ขยายเข้าไปถึง พวกเขาเรียกมันว่า วอลท์ โดยวอลท์แรกที่เรารู้จัก คือ วอลท์ 33 ที่ปกครองกันแบบประชาธิปไตย แต่เมื่อดูไปก็จะพบว่ามันมีอยู่มากมาย แต่รวม ๆ แล้ว มันก็สร้างเอาไว้ให้พวกที่ร่ำรวยใช้เงินมาซื้อความอยู่รอดของตนเอง พวกเขามองว่าตนมีจริยธรรม หลุมหลบภัยใต้ดินนี้พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นแหล่งอารยธรรมแหล่งสุดท้ายของมนุษยชาติ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปราว 200 ปี ก็เกิดเหตุความไม่สงบบางอย่างที่ทำให้ลูซี่ต้องขึ้นมายังโลกเบื้องบนเพื่อตามหาพ่อ เธอผู้ที่อยู่อาศัยในวอลท์มาทั้งชีวิต ต้องคีพคาแรกเตอร์ให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยู่บนโลกที่ถูกเรียกว่า ‘แดนร้าง’

ด้าน คูเปอร์ ฮาเวิร์ต เขาเคยเป็นนักแสดง ที่มักจะได้รับบทนายอำเภอและโคบาลจนโด่งดัง ก่อนที่ภรรยาผู้ทำงานในวอลท์-เทคจะชักชวนให้เขารับงานโฆษณา เธอวาดหวังให้ทั้งคู่ได้อยู่ในวอลท์ที่ดีเมื่อโลกมีภัยนิวเคลียร์มาเยือน แต่แล้วก็อย่างที่เห็น ในเวลานี้ คูปกลายเป็น ‘เดอะกูล’ มนุษย์กลายพันธุ์ที่ใกล้เคียงผีดิบ และกลายเป็นนักล่าฆ่าหัว

บนโลกข้างบนนั้น ยังมีองค์กรหนึ่ง ที่ถูกเรียกว่า ‘ภราดรภาพ’ ดูภายนอกก็คล้ายกองกำลังทหารอยู่นะ แต่ดันมีนักบวชเป็นเสาหลัก ครอบครองเทคโนโลยีอากาศยานใบพัด และเกราะเหล็กที่ผู้สวมจะถูกเรียกว่าอัศวิน (หรือ ‘ลอร์ด’) และพวกเขาจะมีผู้รับใช้ 1 คน คอยขนสัมภาระและติดตามรับใช้อย่างซื่อสัตย์ไปทุกที่ พวกเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อจะเก็บเกี่ยวเศษเสี้ยวจากโลกเก่า พูดอีกนัยก็คือ เก็บเทคโนโลยีก่อนสงครามเพื่อจะไม่ให้ใครมีเทคโนโลยีก่อนสงครามนั่นแล

ในเรื่องนี้ แม็กซิมัส หนุ่มผิวดำผู้ที่ถูกกดขี่ตลอดเวลา เขากลายเป็นคนรับใช้ของ อัศวินไททัส แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะแม็กซิมัสยึดครองชุดเกราะนั่นได้สำเร็จ แต่ต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานอยู่พักใหญ่

และหลังจากลูซี่ออกจากวอลท์ขึ้นไปตามหาพ่อ ตระกูลแม็คเคลนก็เหลือเพียง นอร์ม หรือ นอร์แมน ที่ยังอยู่ในวอลท์ 33 แต่เขาก็กำลังพบความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นภายใน ไม่ว่าจะเป็นพวกนักปล้นที่น่าจะลงมาจากโลกข้างบน หรือแม้แต่คนในวอลท์เองที่มีความลับน่าสงสัย

การดำเนินไปของเรื่องราวใน ‘ฟอลล์เอาท์’

อย่างที่เล่าไปในหัวข้อก่อนหน้า ตัวละครแต่ละตัวต่างมีเส้นทางที่แตกต่าง แต่หลายตัวจะต้องมาเกี่ยวข้องกัน โดยมี โมลเดเวอร์ (Sarita Choudhury จากหนังเรื่อง ‘After Yang’) มีจุดศูนย์กลาง อย่างเช่น ลูซี่ ทางเดียวที่เธอจะได้พ่อคืน ก็คือการเอาตัว (ไม่ก็เอาไปแต่หัว) ของนักวิทยาศาสตร์ผู้มาจากอันเคลฟ นามวิลซิก ไปต่อรองกับโมลเดเวอร์ ขณะที่ พวกอัศวินเกราะเหล็กทั้งหลายก็ควานหาตัว (ไม่ก็หัว) ของวิลซิกกันให้ควั่ก เพราะเขาเก็บสิ่งประดิษฐ์โคตรสำคัญไว้ในศีรษะของตัวเอง ขณะที่เดอะกูลก็เป็นนักล่าค่าหัว แน่นอนว่า เขาต้องการหัววิลซิกเพื่อเอาไปแลกเงินรางวัล

อีกด้าน ซีรีส์ก็เล่าเรื่องของนอร์แมนที่ยังอยู่ในวอลท์ กับความดิ้นรนท่ามกลางความไม่น่าไว้ใจของผู้ร่วมอยู่อาศัย โดยที่เรื่องมันก็พยายามที่จะปกปิดความจริงเรื่องโมลเดเวอร์เอาไว้จนถึงที่สุด สร้างแต่ความสงสัยในใจผู้ชมตลอดมา

ซีรีส์ใช้วิธีเดินเรื่องแบบเล่าสลับกันในหลายเส้นเรื่อง แถมมีสลับอดีต-ปัจจุบันด้วยอีกต่างหาก แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อการทำความเข้าใจแต่อย่างใด เล่าเรื่องการผจญภัยที่คาดเดาไม่ถูกได้อย่างสนุก น่าติดตาม แต่ละตัวละครต่างมีปมเป็นของตนเอง รวมทั้งสิ่งที่เล่าไว้ในตอนก่อนหน้า ถูกหยิบมาเป็นเหตุเป็นผลได้อีกครั้งในตอนหลัง ไม่ได้ถูกทิ้งไปอย่างเสียเปล่า

อีกสิ่งที่สัมผัสได้จากเรื่องราวนี้ ก็คือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีวอลท์-เทคมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหลุมหลบภัยใต้ดินที่โผล่ขึ้นมาตั้งแต่ช็อตแรกของซีรีส์ เมื่อขึ้นมาบนพื้นผิว ก็ได้เห็นร่องรอยมากมายที่วอลท์-เทคผลิตขึ้น ยิ่งเดินเรื่องไป เราก็ยิ่งได้รู้ว่า องค์กรธุรกิจนี้นี่เองที่เป็นต้นเหตุของทุกเหตุการณ์ เป็นองค์กรธุรกิจที่ทำเงินจากการขายวันสิ้นโลก และซื้อทุกอย่างที่จะนำพาไปถึงวันจบสงคราม ประเทศใด ๆ จึงไม่ควรให้เอกชนเติบใหญ่เกินกว่ารัฐจะควบคุม อะไรประมาณนั้น

ความรู้สึกที่มีต่อซีรีส์ ‘ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู’

ด้วยไอเดียของโลกอนาคตที่กลายเป็น ‘แดนร้าง’ เพราะความผิดพลาดอันเป็นผลจากความทะเยอทะยานและมองแต่ผลประโยชน์ จนดูเหมือนมันจะเปิดให้จินตนาการแตกแขนงออกไปได้อีกหลายต่อหลายอย่าง ทั้งโลกที่แห้งแล้งมีแต่ฝุ่นจนเป็นทะเลทราย รังสีที่แผ่กระจายจนมนุษย์มีสภาพผิดเพี้ยนไป สัตว์หลายชนิดกลายพันธุ์ และมีสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นมา หลุมหลบภัยที่สร้างไว้ให้พวกร่ำรวยได้ใช้ชีวิตรอวันกลับขึ้นมาสร้างอารยธรรมใหม่ บทใส่จินตนาการของโลกรกร้างที่ยังหลงเหลือมนุษย์อยู่บนนั้น โลกแบบดิสโทเปียที่ผู้เหลือรอดต้องดิ้นรนอย่างยากลำบาก และกลายเป็นดินแดนอนาธิปไตยไปอย่างสมบูรณ์ที่ขัดแย้งกับโลกใต้ดินที่ไร้เดียงสา

ถ้าพูดถึงเรื่องเทคนิคด้านภาพ ก็ถือว่า โดดเด้งทีเดียวในฐานะซีรีส์ ทีมงานเขานำเสนอของโลกอนาคตที่กลายเป็นทะเลทรายซะส่วนใหญ่ แต่แม้โลกจะเผชิญกับวิกฤตระเบิดนิวเคลียร์ ก็ยังมีมนุษย์โลกอีกส่วนที่ใช้ชีวิตอย่างยากแค้น ทั้งหาน้ำสะอาดยากมาก ทั้งต้องเผชิญหน้ากับกัมมันตรังสีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย และทำให้โลกเบื้องบนมีสัตว์ร้ายหน้าตาประหลาดไปพร้อมกันด้วย ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนช็อตสุดท้าย กลายเป็นภาพของโลกที่ล่มสลายในจินตนาการที่ต่อยอดสรรสร้างจากเกมชื่อดัง

อีกส่วนก็คือ ด้วยความที่ไอเดียของเรื่องคือ การเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกยุคเก่า งานด้านอาร์ตจึงออกมาในสไตล์ย้อนยุค รวมไปถึงเพลงที่ใช้เพลงยุคเก่ามาประกอบ ทำให้ ‘ฟอลล์เอาท์ ภารกิจฝ่าแดนฝุ่นมฤตยู’ เป็นซีรีส์จากเกมที่มีกลิ่นอายเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

และเมื่อไม่ได้เป็นคอเกม ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน นายแพทจึงสนใจในแง่ของการสร้างเรื่องราว การบอกเล่า และเทคนิคพิเศษ ซึ่งบอกได้เลยว่าทุกภาคส่วน เขาทำออกมาได้อย่างโดดเด่นและพร้อมเพรียง จนสามารถจะเรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่สนุก เต็มไปด้วยตัวละครที่มีสีสัน น่าติดตาม ผ่านงานวิชวลที่น่าตื่นตา บทที่เขียนให้ทุกตัวละครมีเหตุผลและเรื่องราว และเหมือนชิ้นส่วนที่ต่อกันเป็นชิ้นเดียวเมื่อเรื่องราวมันจบลง

รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์