หยุดยาวๆ อย่างนี้ หลายคนคงหนีเมืองกรุงไปเที่ยวบ้านนอก แต่คนอย่างผมกลับเลือกที่จะเช่าหนังมาดูกันที่บ้าน ตามประสาคนที่มีทรัพย์น้อย ใช้น้อยๆ คงจะดีกว่า หลังไม่ได้เช่าหนังแผ่นมาดูเสียนาน เวลานี้ ถือเป็นช่วงการเก็บตกหนังที่เคยอยากดูเสียที เข้าไปดูในร้านมีหลายเรื่องทีเดียวที่น่าเช่ามาดู ถ้าเช่าบ่อยๆ คงไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ ผมขอเริ่มกันที่เรื่องแรก ‘The Curious Case of Benjamin Button’
เรื่องราวของหนุ่มกระดุม ที่ไปโลดแล่นอยู่บนรายชื่อเข้าชิงรางวัลอะคาเดมี หรือ ออสการ์ เกือบจะได้ดูในโรงแล้ว แต่ด้วยความที่มันมีหนังแย่งกันเข้าฉายมากเกินไปในช่วงนั้น ยังไงก็ต้องเลือกดูเลือกผ่านบางเรื่อง จนวันนี้สบโอกาสได้ดู…
ผมเอง ยอมรับว่า ชื่นชมในบทบาทและความสามารถในการแสดงของ Brad Pitt ติดตามผลงานของเขามาหลายเรื่อง นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องชื่นชมว่าพิตต์แสดงได้ดีเยี่ยมน่าชื่นชมอีกเรื่องหนึ่ง ก็สมอยู่ที่ได้เข้าชิงออสการ์
กับบทบาทที่ต้องแสดงเป็นคนนาม Benjamin Button ตั้งแต่เด็กจนแก่ (หรือตั้งแต่แต่จนเด็ก) นับว่า ต้องใช้ความสามารถมิน้อยเชียวล่ะ เรื่องราวที่ดูหนักหน่วงให้แง่มุมเชิงปรัชญาชีวิต การดำเนินเรื่องที่เนือยๆ เอื่อยๆ อาจจะทำให้หลายคนง่วงงุนได้ โดยเฉพาะเมื่อผมเปิดดูช่วง 5 ทุ่มของวัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ยาวถึง 166 นาที กว่าจะจบล่อเข้าไปตี 2 จะไม่ให้ง่วงเช่นใดไหว
เมื่อคนๆ หนึ่งกำเนิดขึ้นพร้อมกับการจากไปของมารดา ขณะที่บิดาเองก็ไม่ยอมรับในสารรูปของลูกน้อยของตน ก็ใครเล่าที่เกิดมามีหน้าตายังกะคนแก่หงัก แต่เมื่อโตขึ้นกลับหนุ่มขึ้นทุกที มันสวนทางกับมนุษย์ทุกผู้อย่างเห็นได้ชัด
เป็นคนที่ “แตกต่าง” อย่างแท้จริง
ผมว่าหนังสะท้อนแง่มุมมากมายหลายอย่าง บางคนอาจจะดูหนังด้วยความรู้สึกเบื่อและง่วง แม้แต่ผมยังง่วง แต่ผมก็เห็นแง่มุมมากมายที่คนเขียนเขาใส่มาในเรื่อง แต่โดยรวม ผมรู้สึกได้ถึงแง่มุมของ “ความตาย” ที่เกิดขึ้นกับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเกิดมาแตกต่างจากใครแค่ไหนอย่างไร ก็มีวันนั้นเหมือนๆ กัน เบนจามินเองก็ได้พบเห็นความตายมาตลอดตั้งแต่วันเกิดของตนเอง วันที่เขาพักอาศัยในบ้านพักคนชรา ไปจนถึงวันนั้นของตน
เริ่มต้น เปิดเรื่องด้วยคำบอกเล่าของหญิงชราคนหนึ่ง ที่พูดถึงชายตาบอดผู้ทำนาฬิกาถอยหลัง ด้วยใจหวังให้ลูกชายที่จากไปในสนามรบ ลุกขึ้นกลับมามีชีวิตที่เต็มชีวิตอีกครั้ง ตัวอย่างของการไม่ยอมรับธรรมชาติของชีวิต ก่อนที่หญิงชราจะเปิดเผยเรื่องราวต่อลูกสาวที่เธอไม่เคยได้รับรู้มาก่อน เรื่องราวของชายผู้ซึ่งเกิดมาไม่เหมือนใคร
ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง คนเขียนเรื่องนี้อาจเพิ่งเข้าใจหลักการของพุทธ
นอกเหนือจากความตาย มันยังมีการกำเนิด แล้วก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ก่อนที่จะสิ้นสุดที่ความตาย สิ่งที่บอกเล่าทั้งในด้านภาพ และคำพูด บ่งบอกนัยแห่งปรัชญาที่หลากหลายจากห้วงความคิดของแต่ละผู้คน ผมไม่กังขาในความเยี่ยมของบทนัก แต่ผมกังขาบ้างเล็กน้อยในเรื่องของความสมจริง จริงอยู่ว่า คนเราไม่มีทางเกิดมาขึ้นรูปลักษณ์แก่หงัก ก่อนจะตายด้วยรูปลักษณ์ของทารกได้ มันผิดธรรมชาติอย่างหนัก แต่เมื่อคนเราเกิดมาในขนาดเท่าทารก เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ร่างสูงโปร่ง แต่พอแก่ตัวก็จะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ขนาดรูปร่างกลับหดลงไปเท่าเด็กจริงๆ ซะงั้น
เรื่องเอฟเฟ็กต์แต่งใบหน้าได้แก่-หนุ่มน่ะทำได้ดีอยู่แล้ว ขนาดดูไม่รู้เลยว่า Cate Blanchett ตอนสาวจะสวยขนาดนั้น
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะได้รับรางวัลออสการ์ไปเพียง 3 จากการเข้าชิง 13 ผมก็ว่า นั่นก็เจ๋งพอแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งอะนะ
“เราไม่รู้หรอกว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา”
แต่ความจริงหนึ่งที่เรารู้ก็คือ “สักวัน เราจะตาย”
ยังทำใจนั่งดูหนังดรามายาวๆ 3 ชม. กว่าๆ ที่บ้านไม่ค่อยได้ เพราะเผลอแล้วได้หลับทุกที
ชอบเรื่องนี้มากครับพี่
ดูแรกๆก็พยายามทำใจ
แต่พอไปได้ซักแ้ล้วรู็สึกเลยว่าหนังดีมากครับ +1
แรกๆที่ดูไม่คิดอะไรนึกว่าจะเป็นหนังธรรมดา เพราะไม่เคยได้อ่านบทความอะไรที่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่พอดูๆไปแล้วกลับอินไปกับเนื้อหา และชอบสุดๆ