นั่งชมกันต่อเนื่องไปเลย หลังจากย้อนหลังกลับไปชม ‘Batman Begins’ ภาคปฐมบทของแบทแมนฉบับ Christopher Nolan มาแล้ว คราวนี้ก็คงได้เวลาตามต่อกับภาคสอง ‘The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล’ กันบ้าง
นี่คือภาคต่อของภาคแรก 2008 สามปีถัดมา Christopher Nolan ก็ส่งภาคต่อออกมาให้แฟนๆ ที่รอคอยได้ติดตามชมกัน หลังจากทิ้งท้ายไว้ด้วยไพ่ใบหนึ่งที่เป็นที่มาของชื่อ “โจ๊กเกอร์” ภาคนี้ วายร้ายนามนี้ก็ได้เวลาออกโรง
เริ่มต้นที่เหตุปล้นเงินในธนาคารอย่างอุกอาจ เปิดเผยโฉมหน้าของ “โจ๊กเกอร์ / Joker” ว่าประหลาดล้ำเพียงใด กับหน้าจริงที่ทาสีเพิ่ม พร้อมกับรอยแผลเป็นที่มุมปาก ใช่แล้ว เขาคือ Heath Ledger ผู้จากไปนั่นเอง
รีวิวหนัง ‘The Dark Knight’
ขณะที่ Batman กลับมาภาคนี้ Christian Bale ดูมีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มเติมขึ้นนิดหน่อย และยังมีอัลเฟรดเป็นคนสนิทคนเดิมคอยดูแล ขณะที่อัยการเขตคนใหม่อย่าง ฮาร์วีย์ เดนท์ (Aaron Eckhart) กำลังได้ เรเชล ดอว์ส (ที่คราวนี้เปลี่ยนตัวเป็น Maggie Gyllenhaal) ไปเป็นแฟน
ส่วน จิม กอร์ดอน (Gary Oldman) เขากลายเป็นหัวหน้ากองปราบฯ ผู้รับรู้เรื่องการปล้นเงินของแก๊งมาเฟีย หลังทีมของพวกเขา (ที่ก็เลือกมาจากพวกโกงกินทั้งนั้น) และแบทแมนไปเล่นจุดตายคือเรื่องเงินของพวกมันเข้า จึงทำให้พวกมันคิดขโมยเงินในธนาคารออกมา เพื่อยักย้ายไปเก็บที่อื่นนั่นเอง
ภารกิจครั้งนี้ ขยายวงไปไกลถึงฮ่องกง หนังที่ยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง พาเราไปพบกับเรื่องราววกวนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่น่าฉงนแต่ดูแล้วสนุก
โจ๊กเกอร์ ดูเป็นวายร้ายที่ไม่ค่อยเข้าพวกกะใคร มีวิธีคิดเป็นของตัวเองและเดาทางได้ยาก แต่นั่นล่ะ ทำให้ The Dark Knight ถูกเล่าในทิศทางที่คนดูเดาไม่ออก อีกทั้งการมีตัวละครอยู่มากมาย ทั้งร้ายทั้งดี ทำให้การเขียนบทยืดหยุ่นได้สูง แต่ก็ต้องได้มือเขียนที่เจ๋งด้วยเช่นกัน ที่จะเอาอยู่ทั้งหนังและคนดูแบบนี้
เราได้เห็นด้านที่อ่อนไหวของซูเปอร์ฮีโร่ชุดดำผู้มีคุณธรรม เขาคือคนที่สังคมเลือกไส เขาเลือกทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้–สิ่งที่ถูกต้อง ข้อเรียกร้องของโจ๊กเกอร์ คือ การให้แบทแมนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เขาเกือบจะได้ทำมันไปแล้ว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างให้เกิดอีกด้านหนึ่งของคนดีอีกคนขึ้นมา…
หลายครั้งที่เราได้เห็นอัยการเขตคนนี้หยิบเหรียญขึ้นเสี่ยงทาย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่า “เขาไม่ได้เสี่ยง” คือวันที่ยินดีไปเป็นตัวล่อเพื่อการจับกุมโจ๊กเกอร์ และหนังก็เฉลยว่า ทำไม หนังค่อนข้างยาวมาก แต่ก็เล่าอะไรได้ทรงพลังมากๆ อยู่หลายฉากเช่นกัน โดยเฉพาะการโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนให้คนดูลองเลือกเองในใจว่า ใครควรตายมากกว่ากัน ระหว่างคนปกติกับคนชั่วของสังคม ต่อมศีลธรรมต้องทำงานกันวุ่นเลยทีเดียว
ในส่วนของการถ่ายทำ นับว่าการถ่ายทำด้วยมุมกล้อง การตัดต่อ ผสานไปกับเสียงดนตรีประกอบ ทำให้นี่เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้ “ถึงใจ” ที่สุดเรื่องหนึ่ง ครบเครื่องทั้งลีลาฉากแอ็คชั่น และซับซ้อนในด้านบท แม้ในขณะที่คนดูเชื่อว่าเรื่องกำลังจะจบ ก็ยังมีเรื่องต่อให้ลุ้นกันอีกเกือบครึ่งเรื่องเลยทีเดียว บางคนอาจจะว่าหนังดูเครียด แต่หนังก็สะท้อนให้เห็นโลกจริงๆ ว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ และเราอาจจะต้องการฮีโร่สักคนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
คุณอยากตายไปในฐานะฮีโร่ หรืออยากอยู่ไปจนตัวเองกลายเป็นวายร้าย!
ชื่อภาพยนตร์ : The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Christopher Nolan
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : Jonathan Nolan (screenplay), Christopher Nolan (screenplay), Christopher Nolan (story), David S. Goyer (story), Bob Kane (characters)
นักแสดงนำ : Christian Bale, Heath Ledger, Aaron Eckhart, Michael Caine, Maggie Gyllenhaal, Gary Oldman, Morgan Freeman
แนว/ประเภท : Action, Crime, Drama, Thriller
เรท : USA/PG-13
ความยาว : 152 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย : Warner Bros. Pictures, Legendary Pictures, Syncopy
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย : 17 July 2008
ปี : 2008
2 คอมเมนต์