ครึ่งหลังของปี 2017 รู้สึกได้ชัดเจนเหมือนกับทุกคนเลยแหละว่า มีคอนเสิร์ตจากศิลปินต่างประเทศในไทยเยอะเป็นพิเศษ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ เดินหน้าเข้ามาเยี่ยมบ้านเราและให้ความสนุกกับแฟนๆ ชาวสยามอย่างไม่ขาดสาย แต่คนกระเป๋าไม่หนักอย่างนายแพทคงจะได้ดูไม่กี่รายหรอก อย่างวันนี้ก็โคตรโชคดีเพราะได้มาดู ‘Soundbox: DNCE’ กะเขาด้วย
คอนเสิร์ตครั้งนี้จัดขึ้นที่ เมืองไทย GMM Live House @ Centralworld ในวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 18.30 น. โดยคอนเซ็ปต์มันเป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละครั้งก็จะเปลี่ยนรายชื่อศิลปินไปเรื่อยๆ
โดยในครั้งนี้ ศิลปินที่ถูกคัดเลือกอย่างดีจากทาง BEC ก็จะเป็น Gnash, Sekai No Owari และ DNCE สองวงแรกเป็นเหมือนวงเปิด แต่สำหรับผมมันไม่ใช่วงธรรมดาเลยนะที่เลือกมา ผมไม่ได้เข้าไปชม Gnash แต่ก็ทันวงที่สอง
Sekai No Owari (เซกาอิ โนะ โอวาริ) หรือในอีกชื่อว่า End of the World เป็นวง 4 คนจากญี่ปุ่นครับ ได้ข่าวว่าเป็นวงดังแถวหน้าของวงการเพลงญี่ปุ่นเลยทีเดียว เป็นวงที่ได้รับให้ฝีมือการแสดงสดว่ายอดเยี่ยม และวันนี้ ผมได้พบกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
ไปหามาได้รายชื่อเพลงประมาณนี้ครับ
01 Stargazer
02 One More Night
03 Monsoon Night
04 All We Know
05 ANTI-HERO
06 Mr. Heartache
07 Question
08 SOS
09 Sleeping Beauty
10 Roller Skates
ผมเองยังไม่ค่อยรู้จักพวกเขาเท่าไหร่ เท่าที่สัมผัสมันมีความหลากหลายในแนวเพลงที่หยิบจับมาทำ แต่มีความเป็นอิเล็กทรอนิกป็อป มันฟังง่าย มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ หลายเพลงร้องผสานไปกับเสียงสังเคราะห์
ฟังแล้วเรียกได้ว่าชอบเลย
แล้วก็ได้เวลาของวงที่รอคอย DNCE วงสี่คนที่แต่ละคนที่แต่งตัวกันไปคนละทิศคนละทางกันเลย วงนี้ประกอบไปด้วย โจ โจนัส (Joe Jonas) นักร้องนำที่แต่งตัวสุภาพสุดละ เสียงดีไม่มีตก โคล วิทเทิล (Cole Whittle) มือเบสที่ดูจะขี้เล่นและบ้าพลังตลอดเวลาของการแสดง
คนต่อมา เป็นสาวคนเดียวในวง เธอคือ จินจู ลี (Jinjoo Lee) มือกีตาร์ที่ดูเฟี้ยวฟ้าวแต่ฝีมือกีตาร์ก็เรียกได้ว่าเก่งไม่เบา ตอนแรกก็ใส่แว่นอยู่ พอคอนเสิร์ตผ่านไปได้สักครั้ง เธอก็เริ่มถอดแว่นแล้ว น่ารักเหมือนกันนี่หว่า
มาถึงคนสุดท้าย แจ็ค ลอว์เลส (Jack Lawless) มือกลองผมยาวที่ไม่ค่อยได้เห็นลีลาเท่าไหร่ ด้วยความที่เขาต้องนั่งอยู่กับที่ตีกลองสุดมันให้เราได้ขยับร่างกายกัน
ด้วยความที่ DNCE ยังมีเพลงไม่มากนัก จึงแทบจะเรียกได้ว่าขนกันมาทั้งอัลบั้มเลย แต่ละเพลงก็ชักชวนให้ขยับเต้นได้ดีไม่หยอก
แถมยังแบ่งตรงกลางเอาไว้เป็นการเล่นนั่งเล่นกันแบบชิลๆ ก่อนจะกลับไปสนุกกันอีกครั้ง ถือว่าแบ่งพาร์ตไม่ยากและทำได้เยี่ยม
น่าเสียดายที่ผมไม่ได้จดลิสต์เพลงทั้งหมดมา แต่บางทีก็คิดว่าไม่จำเป็น เพราะแทบจะขนมาทั้งอัลบั้มอยู่แล้ว
เพลงที่พิเศษหน่อยๆ สำหรับโชว์ของวงนี้คือการหยิบเอาเพลงเก่าๆ อย่าง ‘Wannabe’ (Spice Girl) และ ‘Oops!…I Did It Again’ (Britney Spears) มาเรียบเรียงและทำเป็นเมดเลย์ เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูได้มากโขเชียว
แล้วก็แน่นอนว่า ต้องปิดท้ายคอนเสิร์ตด้วยเพลงดังที่สุดของวงอย่าง ‘Cake by the Ocean’ ตอนท้ายมีเอาต์โทรยาวๆ พร้อมควันพวยพุ่งและปล่อยกระดาษปลิวจากข้างบน เปลี่ยนบรรยากาศสุดร้อนให้เย็นลงได้ในระดับหนึ่ง
ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน!
ขอบคุณรูปบางส่วนจาก @OaddybeinG