บรรยากาศดีๆ อย่างวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ บางทีผมก็ชอบอยู่บ้าน หยิบหนังเก่าๆ ขึ้นมาปัดฝุ่นดูบ้าง นึกไปถึงหนังไซไฟแฟนตาซีคอมิดี้ไตรโลจี้เรื่องหนึ่งเข้า เลยได้การ หยิบมาดูติดต่อกัน 3 ภาครวดมันเสียเลย กับ ‘Back to the Future’ ซีรีส์หนังท่องเวลาที่ลือลั่นในอดีต
ผลงานการแสดงนำของ Michael J. Fox ที่ได้ประกบกับ Christopher Lloyd ตลอดทั้งสามภาค มีผู้กำกับฯ เป็น Robert Zemeckis และอำนวยการสร้างโดย Steven Spielberg เป็นอะไรที่คนจดจำไปอีกนานเท่านั้น ‘เจาะเวลาหาอดีต’ ที่หยิบมาดูเมื่อไหร่ก็พร้อมจะสร้างความสนุกเพลิดเพลินไปทุกครั้ง
ด้วยพล็อตที่ดูเหมือนจะซับซ้อนแต่เข้าใจไม่ยากเลย
Back to the Future
ภาคเริ่มต้นที่เล่าถึงความสัมพันธ์ของสองคนสองบุคลิกและสองวัย หนึ่งคือ มาร์ตี้ แมคฟราย หนุ่มเฟี้ยวที่มีปัญหาว่าใครจะมาล้อว่าขี้ขลาดไม่ได้เพราะเขาจะขึ้นทันที กับศาสตราจารย์สติเฟื่องอย่าง ดร.เอ็มเม็ตต์ บราวน์ หรือที่มาร์ตี้เรียกว่า ด็อค
ในปี 1985 ด็อคกำลังทดลองการเดินทางท่องเวลาด้วยรถเดอลอรีนที่ถูกปรับแต่งโดยมีมาร์ตี้เป็นผู้ช่วย เมื่อการท่องเวลาจะบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็ว 88 ไมล์/ชม. และใช้พลังงานระดับสูงจากพลูโตเนียม พร้อมตั้งเวลาทั้งขาและขากลับไว้ก่อนออกสตาร์ท
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมาร์ตี้หลุดเข้าไปในอดีตในปี 1955 และดันไปเปลี่ยนเหตุการณ์เข้าโดยบังเอิญ แถมยังเป็นเหตุสำคัญเพราะมันคือช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ของเขาจะได้เจอและรักกัน ถ้าการรักของทั้งคู่ไม่เกิดขึ้น นั่นก็จะหมายถึงมาร์ตี้และพี่น้องก็จะต้องหายไป
มาร์ตี้จึงต้องช่วยให้พ่อและแม่ปิ๊งกันให้ได้ ก่อนที่จะกลับไปยังปี 1985 อีกครั้ง
Back to the Future: Part II
หลังจากไปท่องอดีตในภาคแรกแล้ว ภาคสองจะขอเปลี่ยนไปท่องอนาคตกันดูบ้าง สองคู่ซี้ต่างวัยเดินทางท่องเวลาไปยังปี 2015 ด้วยภาพของโลกที่ล้ำยุคขนาดที่การจราจรบนฟ้าได้รับความนิยม รถแรงของพวกเขาก็ปรับเปลี่ยนเป็นแบบเคลื่อนที่ด้วยไอพ่น จึงไม่จำเป็นต้องใช้รันเวย์อีกต่อไป
ณ เวลานั้นมีอุปกรณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งรองเท้าที่ปรับความฟิตเองได้ หรือเจ้าโฮเวอร์บอร์ดที่ลอยตัวเหนือพื้นดิน ภารกิจหนนี้ก็คือการปกป้องลูกชายของมาร์ตี้ไม่ให้ต้องติดคุก
แต่เพราะเจ้าหนังสือรวมผลกีฬาเพียงเล่มเดียวที่มาร์ตี้หวังจะใช้มันสร้างความร่ำรวย กลายเป็นเวลาที่ต้องเอามันไปทำลาย เพราะเจ้าบิฟฟ์ตัวป่วนดันฉกฉวยเอาไปเปลี่ยนอนาคตเสียหมดนั่นเอง หนังภาคนี้จะค่อนข้างมีพล็อตที่พลิกกลับไปมาซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่ก็ทำได้สนุกไม่เลวเลย
จบภาค หนังโปรโมตภาคถัดไปเสียเรียบร้อยเลย
Back to the Future: Part III
คราวนี้ หนังเลือกจะย้อนกลับไปอดีตอีกครั้ง แต่ไปไกลถึงราวปี 1885 ยุคคาวบอยครองเมืองโน่นเลย มาร์ตี้ต้องย้อนกลับไปในยุคนั้นเพื่อไปช่วยด็อคที่ติดอยู่และกลับมาไม่ได้เพราะเทคโนโลยีในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวย
เป็นภาคที่แปลกตากว่าภาคอื่น มันคือฮิลล์วัลเลย์ที่เดิมทั้งสามภาค แต่คราวนี้กลายเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มาทางรถไฟผ่าน ด็อคกลายเป็นช่างตีเหล็กแม้ว่าจะยังคงความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมตัวละครใหม่เข้ามา
เมื่อด็อคได้พบพานเข้ากับความรัก
ภาคนี้ยังคงมีตัวร้ายเป็นบิวฟอร์ด แทนแน่น ที่คอยรังควาญสองหนุ่มไม่เคยจบสิ้น
ไอเดียของการย้อนเวลากลับสู่ปี 1985 จึงต้องใช้หลากหลายวิธี ก่อนจะลงเอยด้วยการขโมยหัวรถจักรไอน้ำมาผลักดันรถเดอรอลีนให้วิ่งได้ 88 ไมล์/ชม. ช่วงสุดท้าย หนังก็ยังชวนให้ลุ้นเช่นเคยว่าพวกเขาจะกลับมายังปัจจุบันได้หรือไม่
และด็อคจะตามมาด้วย หรือจะอยู่ที่นั่นกับคลาร่าคนรัก
ความน่าสนใจของทั้งสามภาค
ก็สรุปไว้ได้หลายประการอยู่นะ
- การย้อนเวลาไปมา ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนเป็นแฟนตาซีที่ชวนให้คนดูทั้งสนุก (เพราะมันยังเป็นไปไม่ได้และใครๆ ก็อยากลอง) กับชวนฉงนสับสนได้ง่าย (แต่หนังกลับหยิบมาเล่าได้อย่างสนุก ไม่ฉงน จะมีบ้างในภาคสอง แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นอันใด)
- การท่องเวลาไปสู่อนาคต มันทำให้เห็นจินตนาการของผู้สร้างว่ามองอนาคตไว้อย่างไร ปี 2015 สำหรับเวลานี้มันผ่านมาแล้ว เราคงรู้ว่าอะไรที่เป็นจริงไปแล้วในตอนนี้ และอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง
- ตัวบทหนังที่เขียนเอาสนุกกับเรื่องการย้อนเวลาไปมา แต่ก็มีพล็อตที่ดูลิเกอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพบรักกันอย่างง่ายดายของ ด็อคกับคลาร่า แต่ที่อึ้งสุด ก็เห็นจะเป็นบทของลอร์เรน แม่ของมาร์ตี้ ที่ดูจะอ่อยเกินงามมากไปนิด แต่ถ้ามองว่ามันเป็นหนังเบาสมองก็พอกล้อมแกล้มได้อยู่นะ
- นอกจากจะใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่คนยุคนี้ดูก็คงไม่ว้าวแล้ว เพราะชินกับเทคนิคพิเศษที่เนียนกว่ามาก
- หนังก็ยังจะใช้การเมคอัพหน้าและเครื่องแต่งกายมาช่วยให้นักแสดงเล่นเป็นคนละตัวแต่เป็นญาติกันในอดีตและอนาคต