‘Jurassic Park’ (1993), ‘The Lost World’ (1997) และ ‘Jurassic Park III’ (2001) คือหนังไตรภาคเรื่องสวนสนุกที่มีแต่ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปีที่เคยตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนยุคหนึ่ง ที่บัดนี้ ถูกนำมากลับปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง โดยผู้กำกับฯ คนใหม่ นักแสดงกลุ่มใหม่ โดยที่เลือกใช้สถานที่เดิมที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในนาม ‘Jurassic World’ กว่า 22 ปีจากภาคแรก หรือห่างหายไปนาน 15 ปีก่อนจะกลับมาใหม่ สวนสนุกถูกเปลี่ยนมือไปให้ Masrani Global Corporation บริหารแทน
รีวิวหนัง ‘Jurassic World’
สวนสนุกแห่งที่สร้างขึ้นบนเกาะเดิมในแถบคอสตาริกา พร้อมเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ขึ้นมาใหม่ด้วยการตัดต่อทางพันธุกรรม แต่ก็ดูเหมือนกับสวนสัตว์ทั่วไป จำต้องมีสัตว์ชูโรงตัวใหม่ๆ เพื่อเรียกความน่าสนใจให้คนมาเที่ยวชม และนั่นคือเหตุผลของการมีไดโนเสาร์พันธุ์ที่ใหญ่ยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่มีชื่อว่า “อินโดไมนัส เร็กซ์”
หนังพุ่งตรงไปที่เรื่องราวของครอบครัวๆ หนึ่งที่พ่อแม่กำลังจะหย่าร้าง แต่ส่งลูกชายพี่น้องสองคนไปเที่ยวสวนสนุกจูราสสิค เวิลด์ โดยฝากฝังให้ญาติเป็นผู้ดูแล เด็กทั้งสองคนที่ไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าไหร่นัก ต้องมาอยู่ร่วมกันในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและแสนอันตราย เมื่อพวกเขาสนุกเพลินจนไม่สนใจคำประกาศปิดการแสดงทั้งสวนสัตว์
ครั้งนี้มีสัตว์ยักษ์หลุดออกจากกรง วิ่งไล่อาละวาดสร้างความโกลาหลอลหม่านให้กับจูราสสิค เวิลด์ อีกเช่นเคย และครั้งนี้ มีทีมงานในสวนสนุกแห่งนี้มีเก่งกาจขนาดสื่อสารกับแร็พเตอร์ได้ เขาไม่ใช่ใคร เขาคือ สตาร์ลอร์ด เอ้ย โอเวน (Chris Pratt) ความสามารถอันนี้เหมือนมีนัยยะแอบแฝงบางอย่างซึ่งดูท่าทางจะมาจากกลุ่มอำนาจเก่าอย่างอินเจ็น
แม้จะมีนักแสดงกลุ่มใหม่มาร่วมแสดงบทบาทในภาคนี้ ทว่า ดูเหมือนจะมีเพียง คริส แพรตต์ เท่านั้นที่เด่นพอจะอยู่ในความทรงจำ เพราะแม้แต่ Bryce Dallas Howard ที่ได้รับบทแคลร์คู่กับแพรตต์ก็ยังดูไม่น่าจดจำ กลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่น่ารำคาญเท่านั้น พอๆ กับสองพี่น้องที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหตุยุ่งเหยิงในสวนสนุกแห่งนี้กระเจิงไปมากยิ่งขึ้น
ปมดราม่าของตัวละครในครอบครัว หรือแม้แต่ปมความหลังของโอเวนและแคลร์ ก็ไม่ถูกนำมาบอกเล่าได้มากและลึกพอจนผู้คนจะอินได้ เพราะหนังดูจะให้ความสำคัญกับไดโนเสาร์เสียมากกว่า ในภาคนี้ อุดมไปด้วยไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ รวมทั้งพันธุ์ใหม่ๆ ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมกันขึ้นมาด้วย
เห็นได้ชัดว่า Colin Trevorrow ผกก. ของ ‘จูราสสิก เวิล์ด’ เรื่องนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะคารวะในสิ่งที่ Steven Spielberg เคยทำเอาไว้ในสองภาคแรก ด้วยรูปแบบของโครงสร้างเรื่องที่ใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่ภาคนี้มีไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ พร้อมสรรพทั้งเทคโนโลยีในการสร้างภาพ
แต่สิ่งที่ด้อยกว่า คือมันไม่ใหม่ไปเสียแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เคยดูไตรภาคก่อนจนจำติดตา
จุดที่ดีที่สุดของหนัง จูราสสิก เวิล์ด
1. คริส แพรตต์ เป็นตัวละครที่โดดเด่นหนึ่งเดียวในหนัง แถมยังมีความเท่อีกต่างหาก
2. การพาคนดูไปรำลึกที่วันเก่าของจูราสสิค พาร์ก ทำให้บางคนอาจถึงกลับน้ำตาซึมเพราะความคิดถึง ภาคแรกและสองนั้นคือความทรงจำของใครหลายๆ คนที่เคยดูมาแล้วคนละหลายๆ รอบ แทรกซึมเข้าไปอยู่ในเรื่องราวส่วนหนึ่งของหนังซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นจุดที่น่าประทับใจอย่างมาก
3. พระเอกของเราที่ไม่ใช่คนคงไม่พ้นไดโนเสาร์ ซึ่งถ้าใครได้ดู คงพบว่ามันเป็นพระเอกอย่างแท้จริง และถ้าใครไม่ได้ชม ก็อาจจะไม่รู้ว่าผมหมายถึงตัวไหนในเรื่อง
4. ฉากต่อสู้ในตอนท้ายของเรื่องที่นับว่าพอจะพีคได้อยู่
หากว่าจะดูเฉพาะความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้มีให้นั้น ก็ถือว่าเป็นหนังที่สร้างความบันเทิงให้ได้พอสมควร หนังไม่ได้เลวร้ายหากแต่ไม่เป็นที่จดจำ ด้วยความที่พยายามจะย่ำรอยเดิมโดยเพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้าไป แต่กลับไม่อาจสร้างอาการลุ้นหายใจไม่ทั่วท้อง ขยี้อารมณ์ให้คนดูได้ลุ้นไปกับตัวละคร รวมทั้งไม่อาจทำให้คนดูเอาใจช่วยไปกับตัวละครได้อีก
จูราสสิค เวิลด์ จึงกลายเป็นเพียงหนังภาคต่อที่ดูเอาเพลินๆ ไปได้…เท่านั้น
ชื่อภาพยนตร์: Jurassic World / จูราสสิค เวิลด์
ผู้กำกับภาพยนตร์: Colin Trevorrow
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Rick Jaffa (screenplay), Amanda Silver (screenplay), Colin Trevorrow (screenplay), Derek Connolly (screenplay),
Rick Jaffa (story), Amanda Silver (story), Michael Crichton (characters)
นักแสดงนำ: Chris Pratt, Bryce Dallas Howard, Irrfan Khan, Vincent D’Onofrio, Ty Simpkins, Nick Robinson, Jake Johnson, Omar Sy, Judy Greer
ความยาว: 124 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi, Thriller
อัตราส่วนภาพ: 2.00 : 1
เรท: ไทย/ , MPAA/PG-13
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 11 มิถุนายน 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Amblin Entertainment, China Film Co., Legendary Pictures, UIP
จูราสสิค เวิลด์
Jurassic World - 6
6
Jurassic World
หากว่าจะดูเฉพาะความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้มีให้นั้น ก็ถือว่าเป็นหนังที่สร้างความบันเทิงให้ได้พอสมควร หนังไม่ได้เลวร้ายหากแต่ไม่เป็นที่จดจำ ด้วยความที่พยายามจะย่ำรอยเดิมโดยเพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้าไป แต่กลับไม่อาจสร้างอาการลุ้นหายใจไม่ทั่วท้อง ขยี้อารมณ์ให้คนดูได้ลุ้นไปกับตัวละคร รวมทั้งไม่อาจทำให้คนดูเอาใจช่วยไปกับตัวละครได้อีก Jurassic World จึงกลายเป็นเพียงหนังภาคต่อที่ดูเอาเพลินๆ ไปได้...เท่านั้น