มีภาพยนตร์ไทยอยู่เรื่องหนึ่งครับ ที่คนไทยติดตามมานานเป็นสิบปี เรื่องราวที่อิงมาจากประวัติศาสตร์ชาติเรา และถูกสร้างขึ้นมาเป็นหลายภาคต่อๆ กัน สร้างตั้งแต่นักแสดงเด็กบางคนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว นักแสดงบางแต่งงานมีลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มี แต่นั่นแหละ วันนี้ทีมงานและนักแสดงต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่เป็นภาคจบจริงๆ”
คงไม่ต้องสาธยายเพิ่มเติมแล้วแหละว่าผมหมายถึงหนังเรื่องไหน ก็เรื่อง ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา’ นั่นยังไงเล่าครับ ตำนานที่มาตำมานานตั้งแต่เมื่อปี 2550 ภาคองค์ประกันหงสา จนบัดเดี๋ยวนี้ 2558 ก็ถึงเวลาอวสานหงสากันเสียที
หลังเหตุการณ์ทำยุทธหัตถีผ่านพ้นไป หลังจากพระมหาอุปราชาทรงสวรรคต ไพร่พลของหงสาวดีถูกประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรเพราะพระเจ้านันทบุเรงผู้เป็นพระบิดา นั่นยังไม่เท่าเหตุที่พระสุพรรณกัลยา องค์ประกันองค์สุดท้ายก็สิ้นชีพไปด้วยน้ำมือของพระองค์ ส่งให้พระนเรศโกรธแค้นยกทัพไปเหยียบหงสาจนราบเป็นหน้ากลอง (ขออภัยที่ไม่อาจใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้องได้)
ด้วยวิสัยของกษัตริย์ผู้มองเห็นการณ์อนาคตข้างหน้า ที่ต้องการให้อโยธยากลายเป็นปึกแผ่น สงบและร่มเย็น จึงตั้งใจจะรบปราบอาณาจักรพุกามซึ่งเป็นศัตรูให้หมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหงสาวดี ตองอู หรืออังวะ แม้จะปราบมาทั่วทุกสารทิศ
แต่พระองค์ก็มิอาจล่วงรู้เหตุที่จะเกิดขึ้นกับตนได้
แน่นอนว่า เหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า ยุทธหัตถี นั้นอาจจะไม่สามารถตอบคำถามในใจคนดูอยู่หลายๆ ข้อ เหมือนเป็นการจบที่ค้างคาจนคนดูรู้สึกว่ายังไม่ใช่การจบที่แท้จริง ท่านมุ้ยจึงนำเรื่องราวที่เหลือมาถ่ายทอดต่อเป็นบทสุดท้ายที่จะตอบทุกอย่าง ทั้งยังเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนสิ้นใจขององค์ดำอีกด้วย
ตำนานขององค์มหาราชของคนไทยที่รวบรวมอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น จนเรามีชาติไทยเฉกเช่นทุกวันนี้ หนังนำเสนอพร้อมความยิ่งใหญ่ในหลายด้าน เช่น ดนตรีประกอบ ที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการดี แม้ว่าในด้านงานภาพ จะยังมีปัญหาอยู่ในหลายๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นงานสี ที่มักพบว่าจะสี ความสด และความคมชัดของภาพนั้นยังไม่สม่ำเสมอตลอดเรื่อง นอกจากนี้ ภาคนี้ยังใช้ซีจีเข้ามาสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ซึ่งนอกจากจะดูประดักประเดิดแล้ว ยังดูไม่แนบเนียนอย่างเห็นได้ชัดจนรู้สึกว่ากลับไปถ่ายทำด้วยคนจริงแบบในภาคแรกๆ น่าจะดีกว่า
ครึ่งแรกนั้นพอจะสร้างความตื่นเต้นได้พอประมาณ น่าเสียดายที่ครึ่งหลังนั้น บทพูดที่มากเกิดพอดีกลบอารมณ์ร่วมของคนดูไปเสียสิ้น แม้ว่าบทจะมีความน่าสนใจในเรื่องของการสอดแทรกปรัชญาของชีวิต เพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาสร้างสีสัน
ก็เลยทำให้ “อวสานหงสา” เป็นบทสรุปที่ยังไม่กลมกล่อมพอนั่นเอง
ชื่อภาพยนตร์: ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
ผู้กำกับภาพยนตร์: มจ. ชาตรีเฉลิม ยุคล
ผู้เขียนบทภาพยนตร์:
นักแสดงนำ: สรพงษ์ ชาตรี, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม, นิรุตติ์ ศิริจรรยา, พลโทวันชนะ สวัสดี, เกรซ มหาดํารงค์กุล, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์), จักรกฤษณ์ อํามะรัตน์
ความยาว: 100 นาที
แนว/ประเภท: แอ็คชัน / ผจญภัย / ชีวิต
อัตราส่วนภาพ:
เรท: ไทย/ , MPAA/
ประเทศ: ไทย
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 9 เมษายน 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: พร้อมมิตร โปรดักชั่น, สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา - 6
6
King Naresuan 6
ตำนานขององค์มหาราชของคนไทยที่รวบรวมอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น จนเรามีชาติไทยเฉกเช่นทุกวันนี้ หนังนำเสนอพร้อมความยิ่งใหญ่ในหลายด้าน เช่น ดนตรีประกอบ ที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการดี แม้ว่าในด้านงานภาพ จะยังมีปัญหาอยู่ในหลายๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นงานสี ที่มักพบว่าจะสี ความสด และความคมชัดของภาพนั้นยังไม่สม่ำเสมอตลอดเรื่อง นอกจากนี้ ภาคนี้ยังใช้ซีจีเข้ามาสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ซึ่งนอกจากจะดูประดักประเดิดแล้ว ยังดูไม่แนบเนียนอย่างเห็นได้ชัดจนรู้สึกว่ากลับไปถ่ายทำด้วยคนจริงแบบในภาคแรกๆ น่าจะดีกว่า