
เราอาจเคยผ่านตากับพล็อตรับจ้างแสดงเป็นญาติปลอมๆ มาบ้างแล้วในซีรีส์ของชาติอื่น แต่คราวนี้ เราจะได้ดูซีรีส์ที่เล่าเรื่องแบบนี้ในซีรีส์ของบ้านเราเองบ้าง ‘Analog Squad’ หรืออีกชื่อหนึ่ง ‘ทีมรักนักหลอก’ เป็นซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่มีสัญชาติไทย บอกเล่าเรื่องราวการปลอมเป็นญาติในบริบทแบบไทย แถมยังย้อนไปกลับเล่าในยุค Y2K อีกต่างหาก
ความเห็นส่วนตัวของนายแพท
พล็อตจ้างนักแสดงไปปลอมเป็นครอบครัวนี่อาจไม่ใหม่ แต่เมื่อมันถูกเล่าในบริบทแบบไทยๆ มันก็อินได้อยู่เหมือนกัน เรื่องราวที่เริ่มต้นอย่างไม่ค่อยอยากจะอินสักเท่าไหร่ ปลอมตัวไปหลอกปู่กับย่าเนี่ยนะ ซีรีส์ก็เดินอย่างไม่น่าดึงดูดนัก ในครึ่งแรกของเรื่องเลยรู้สึกต้องอดทนติดตามนิดนึง ก่อนที่จะมารู้ได้น้ำได้เนื้อมากขึ้นในครึ่งหลัง ยอมรับว่าหน้าหนังอาจไม่ดึงดูด แต่เขาเขียนบทไว้ได้ค่อนข้างดี ตัวละครแต่ละตัวต่างมีมิติของตนเอง เล่าเรื่องความจริงที่ทับซ้อนกับความหลอกลวงที่ยิงยาวไปจนจบ
นักแสดงก็ถ่ายทอดไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ครึ่งหลังนี่ทำน้ำตาไหลพรากได้หลายหนเลยแหละ
เรื่องย่อซีรีส์ ‘Analog Squad’
ในช่วงเวลาก่อนโลกจะเข้าสู่ปี 2000 มหันตภัย Y2K จะเกิดขึ้นหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ แต่คนกลุ่มหนึ่งมีภารกิจรวมตัวกันเพื่อแสดงเป็นครอบครัวปลอมๆ
ปอนด์ (ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม จากหนังเรื่อง ‘คนหิว เกมกระหาย’) รู้ข่าวจากแม่ที่พังงาว่า พ่อของเขาป่วยหนักอยากเห็นหน้า นัยว่าไปดูใจเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากผิดใจไม่กลับไปเจอมานานถึง 20 ปี ทำให้ปอนด์ต้องอุปโลกน์สร้างครอบครัวปลอมๆ ขึ้นมา
เขาจึงเลือกติดต่อกับ ลิลลี่ (น้ำฝน กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์ จากละคร ‘บัลลังก์เมฆ’) แฟนเก่าที่เขาเคยทิ้ง ให้มาช่วยปลอมตัวเป็น แหม่ม ภรรยาที่ทิ้งเข้าไป และต้องหาคนมาแสดงเป็นลูกชายกับลูกสาวอย่างเร่งด่วน ในที่สุด ก็ได้ บุ้ง (ปริมมี่ วิพาวีร์ จากหนัง ‘Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ’) หญิงสาวร้านเช่าวิดีโอที่ลิลลี่รู้จัก และเก๊ก (เจเจ กฤษณภูมิ จากหนังเรื่อง ‘แสงกระสือ 2’) หนุ่มคอลเซ็นเตอร์ของเพจลิงก์ ทั้งหมดรีบเดินทางลงใต้ในทันที
ทั้งบุ้งและเก๊กจำเป็นต้องสวมเป็นพี่แม็กและน้องม่อน หลานของปู่เขียว (สุรสีห์ อิทธิกุล จากหนังเรื่อง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’) เจ้าของกิจการห้องภาพ และย่าสดใส (ตุ๊ก วิยะดา โกมารกุล ณ นคร จากหนังเรื่อง ‘วาเลนไทน์ สวีทตี้’) แต่เมื่อไป ก็พบว่าภารกิจของการเป็นครอบครัวหลอกๆ กลับกลายเป็นภาระต่อเนื่องจนยากจะเปิดเผยความจริง
รีวิวซีรีส์ ‘ทีมรักนักหลอก’
เป็นซีรีส์ไทยจำนวน 8 ตอน ที่มีคนรอบข้างมากมายชื่นชม แต่ก็ยังหาเวลามาเปิดดูไม่ได้สักที จนในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่เราจะได้เข้ามาพบเจอกัน เรื่องราวของครอบครัวปลอมๆ ที่เริ่มต้นด้วยการจ้างมาแสดง เป็นเมียและลูกๆ ของปอนด์ แต่สำหรับย่า พวกเขาก็คือลูกสะใภ้และหลานๆ งานนี้เงินดี ทำไม่กี่วัน ก็กำเงินแสนได้แล้ว แม้ว่ามันจะต้องแลกมากับความหนักใจก็ตามทีเถอะ
ครอบครัวตัวปลอม มีใครกันบ้าง?
ในครอบครัวนี้ มีเพียงคนเดียวที่เป็นตัวจริง นั่นคือ ปอนด์ เขาคือลูกของปู่เขียวและย่าสดใส เขาผิดใจกับปู่เขียวมานานละ จนไม่ยอมกลับบ้านนานราว 20 ปี เมียเก่าก็ทิ้งไปพร้อมหอบลูกๆ ไปด้วย เมื่อเขาคิดจะกลับบ้านในวันที่ปู่เขียวอยู่ในห้องไอซียู เขาไม่อยากแบกความล้มเหลวกลับไปให้พ่อแม่เห็น จึงหาคนมาเป็นแหม่ม แม็ก และม่อน เขาบอกใครว่ามีอาชีพค้าขาย แต่ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้วเขาทำอะไรอยู่
ลิลลี่ (ที่ต้องปลอมเป็น แหม่ม ภรรยาของปอนด์) เธอคือแฟนเก่าของปอนด์ ที่ติดการเล่นก็อตจิเป็นชีวิตจิตใจ หมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม และก็ทำใจไว้แล้วว่าคงมีชีวิตเหลืออีกไม่นาน แต่เธอก็ปิดบังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้เลย
บุ้ง (ที่ต้องปลอมเป็น พี่แม็ก ลูกสาวคนโตของปอนด์และแหม่ม) หญิงสาวลูกเจ้าของร้านเช่าวิดีโอ เด็กหงส์ที่มีรสนิยมชอบผู้หญิง และคิดว่าตัวเองมีพ่อแม่ที่น่ารักและไม่เคยทะเลาะกัน แต่ก็ขัดใจหนักเมื่อรู้ความจริงว่าพ่อมีเมียอีกคน เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าพ่อมีอีกชีวิตที่แตกต่างไปจากที่เคยรู้มา
เก๊ก (ที่ต้องปลอมเป็น ม่อน นักศึกษาหมอปี 6 ลูกชายคนเล็กของปอนด์และแหม่ม) หนุ่มคอลเซ็นเตอร์ของบริการเพจเจอร์ อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นอดีตดาวโป๊ที่เขาเองก็ไม่อยากให้ใครรู้ มีความคิดอยากจะย้ายไปอเมริกาเพื่อทำงานเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร แต่ก็ยังไม่เคยบอกแม่ให้รู้
source: Netflix
นอกจากสี่ตัวละครหลัก บวกอีกสองตัวละครที่เล่นเป็นปู่เขียวและย่าสดใส ก็ยังมีอีกหลายตัวละครที่มาร่วมสร้างสีสัน อย่างเช่น ป๋ารัก (กษาปณ์ จำปาดิบ) คอลเซ็นเตอร์สูงวัยกว่าที่ทำงานอยู่ข้างๆ กันกับเก๊ก เขามักจะคอยให้คำปรึกษาเด็ดๆ เรื่องจีบหญิงตลอด คนต่อมา คือ ปูเป้ (โยโกะ ทาคาโน่) แม่ที่เป็นอดีตดาวโป๊ของเก๊ก ตอนนี้ทำกิจการโรงแรมอยู่แถวข้าวสาร มีความคิดจะกลับเข้าวงการอีกครั้ง
ย้อนกลับไปสู่โลกยุค 2000
ในเมื่อซีรีส์มันเล่าเรื่องราวในประเทศไทยช่วงปี 1999 เดือนสุดท้ายก่อนที่โลกจะเข้าสู่ปี 2000 มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังหวั่นเกรงภัย Y2K ว่าจะทำให้ทั่วโลกต้องตกอยู่ในความโกลาหล แต่ในระหว่างนั้น ประเทศไทยก็เผชิญอยู่กับปัญหา อย่างการลอยตัวค่าเงินบาท ติดหนี้ไอเอ็มเอฟ รวมทั้งการหยิบเอาบรรยากาศของเมืองไทยในช่วงนั้นกลับคืนมาให้เราได้รำลึกถึง
มันเล่าถึงเพจเจอร์ อุปกรณ์ที่เข้าถึงทุกคนได้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถสื่อสารกันได้แบบเรียลไทม์อย่างโทรศัพท์มือถือ, บรรดาคอลเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการเพจเจอร์ที่ล่วงรู้ทุกความลับของลูกค้า, เล่าถึงของเล่นของคนในช่วงนั้น ทามาก็อตจิ และเกมบอย, วิถีชีวิตของคนในช่วงนั้น ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ห้างมาบุญครอง ตึกใบหยก เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หนังสือนวลนาง ห้องภาพ เหตุไฟไหม้โกดังย่านรังสิต รวมถึงกระทั่งเพลงที่ประกอบอยู่ในชีวิตของแต่ละตัวละคร
ทุกชีวิตต่างก็อยู่กับการหลอกลวง
คนทั้งสี่กำลังรวมหัวกันหลอกลวงปู่เขียวและย่าสดใส พวกเขาที่คิดว่าภารกิจครอบครัวปลอมๆ นี้มันจะจบลงใน 3-4 วัน จากนั้นก็แยกย้าย แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ใช่ สุดท้าย พวกเขาก็เริ่มจะผูกพันและรักปู่กับย่ามากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดจะมาเผยความจริงก็ยังไม่กล้า สุดท้าย เลยกลายเป็นสะใภ้และหลานไปเรื่อยๆ
ซีรีส์ที่เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่คนดูเองก็ไม่อยากจะเอาใจช่วย 4 ตอนแรกจึงไม่ชวนอินนักแต่ก็พยายามจะตามเรื่องต่อ แต่เมื่อผ่านไปถึงครึ่งหลัง เรื่องราวก็เริ่มจะจริงจังและดราม่ามากขึ้นทุกที เรื่องจริงกับเรื่องหลอกก็ดูเหมือนจะซ้อนทับมากขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่หลอกก็เริ่มลำบากใจจะเปิดเผยความจริงมากขึ้นไปด้วย
บุ้ง สาวผมสั้นที่คบอยู่กับหญิงสาวอีกคน เธอคิดว่าตนเองมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ที่ไม่เคยทะเลาะกัน แต่กลับพบว่า แท้จริงแล้วพ่อมีเมียน้อยและมีลูกอีกคน เก๊ก เด็กหนุ่มที่มีแม่เป็นอดีตนางแบบโป๊ ต้องอดทนแสร้งว่ารับได้และไม่รู้สึกอะไร แต่ก็แอบเก็บเงินหวังย้ายไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกา และเช่นกัน ลิลลี่ แม้เธอจะอยากเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ของคนบ้านนี้ แต่เธอเป็นได้แค่ลูกสะใภ้ปลอมๆ ที่ปิดบังว่าตนกำลังเป็นมะเร็งเต้านม ความโดดเดี่ยวที่พาให้ไม่รู้สึกอยากที่จะรักษา จึงคิดไปอีกไม่นานก็คงต้องตาย
ความรู้สึกหลังดู ทีมรักนักหลอก
บทซีรีส์ที่เขียนได้ดี มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ได้เรื่อยๆ แม้บางอย่างอาจจะถูกใช้บ่อยจนคนดูอย่างเราเดาทางได้ก็ตาม ทุกตัวละครต่างมีเรื่องจริง เรื่องโกหก และเรื่องที่ไม่ได้พูดด้วยกันทั้งนั้น ทุกฉากล้วนมีเรื่องโกหกและเรื่องจริงทับซ้อนอยู่ด้วยกัน ราวกับจะบอกว่า มนุษย์เราต่างก็มีทั้งสองสิ่งนี้อยู่ในเวลาเดียวกันเสมอมา เพราะเราต่างก็มีเหตุผลของการพูดความจริงและพูดโกหกเป็นของตนเอง เช่นเดียวกับพวกเขา แม้จะไม่ได้ครอบครัวหรือเกี่ยวพันกันทางสายเลือดจริงๆ แต่ความผูกพันมันไม่ได้เกี่ยวกับสายเลือดนี่นา เรื่องราวในช่วงครึ่งหลังของ
ทั้งแคสต์เรียกได้ว่าเล่นดีกันทั้งหมดเลย ชอบมากคือ น้ำฝน ที่เล่นได้ชวนอินมาก พาน้ำตาไหลนองไปหลายช็อต แม้แต่พี่อ๋อง สุรสีห์ ที่การพูดการจาอาจจะดูแข็งๆ ไปบ้างแต่น้ำเสียงก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนเจอปู่ของตัวเองจริงๆ
แต่ก็ยังมีอีกหนึ่ง พิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล คือตัวละครลับที่ทีมงานซีรีส์เก็บซ่อนไว้ และโผล่มาเซอร์ไพรส์คนดู เอาเข้าจริง นายแพทก็ไม่ได้ติดตามน้องเขามากนัก เจอผ่านๆ ทางไอจี มาเจอเป็นนักแสดง เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว เห็นรอยยิ้ม เห็นสายตา เห็นฉากร้องไห้ เออ น้องเขาเล่นได้อินดีเหมือนกันแฮะ
ต้องบอกว่าเรื่องนี้ ทำให้มองเห็นว่าซีรีส์ของคนไทยในเน็ตฟลิกซ์ก็มีที่ทำได้ดีเช่นกัน แม้จะได้ไม่ชอบไปซะทั้งหมด อาจมีจุดเล็กจุดน้อยที่หลุดไปบ้างก็ไม่ได้รู้สึกร้ายแรงอะไร ถ่ายภาพธรรมชาติทั้งกลางวันและกลางคืนออกมาได้สวยดี ขณะที่นักแสดงทุกคนก็ทำหน้าที่ได้ดี การดำเนินเรื่องไม่เร่งร้อนแต่เรียบเรื่อยปล่อยไปตามอารมณ์ของตัวละครก็อาจทำให้คนดูรู้สึกต้องใช้พยายามในการไปต่อมากหน่อยในช่วงครึ่งแรก กว่าจะได้พบว่า เรื่องราวที่กินใจพาน้ำหูน้ำตาไหลในครึ่งหลัง
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | Analog Squad / ทีมรักนักหลอก |
ผู้สร้าง | อัม-อมราพร แผ่นดินทอง, ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร |
ผู้เขียนบท | อัม-อมราพร แผ่นดินทอง, ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร |
นักแสดง | ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, น้ำฝน กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์, ปริมมี่-วิพาวีร์ พัทธ์ณศิริ, เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, สุรสีห์ อิทธิกุล, วิยะดา โกมารกุล ณ นคร, กษาปณ์ จำปาดิบ, โยโกะ ทาคาโน่, พิมฐา ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล, ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ครอบครัว |
จำนวนตอน | 1 ซีซัน: 8 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 7 ธันวาคม 2023 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Jungka Bangkok |
ทีมรักนักหลอก
พล็อตและบท - 7.7
การดำเนินเรื่อง - 7.3
การแสดง - 8.2
เพลงและดนตรีประกอบ - 7
งานถ่ายภาพ โปรดักชั่นและเทคนิคพิเศษ - 7.7
7.6
Analog Squad
ต้องบอกว่าเรื่องนี้ ทำให้มองเห็นว่าซีรีส์ของคนไทยในเน็ตฟลิกซ์ก็มีที่ทำได้ดีเช่นกัน แม้จะได้ไม่ชอบไปซะทั้งหมด อาจมีจุดเล็กจุดน้อยที่หลุดไปบ้างก็ไม่ได้รู้สึกร้ายแรงอะไร ขณะที่ทุกคนแสดงได้ดี กับการดำเนินเรื่องไม่เร่งร้อนแต่เรียบเรื่อยปล่อยไปตามอารมณ์ของตัวละครก็อาจทำให้คนดูรู้สึกต้องใช้พยายามในการไปต่อมากหน่อยในช่วงครึ่งแรก กว่าจะได้พบว่า เรื่องราวที่กินใจพาน้ำหูน้ำตาไหลในครึ่งหลัง