พักร่างไปบ้างจากที่เข้าโรงหนังเกือบทุกวันเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้สัปดาห์นี้ผมเลือกที่จะเข้าโรงหนังเพียงหนเดียวเพื่อรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘Self/Less สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ’ ผลงานชิ้นใหม่จากผู้กำกับหนังอย่าง ‘Mirror Mirror’, ‘Immortals’, ‘The Fall’ และ ‘The Cell’ เขาคือ Tarsem Singh นั่นเองครับ
เนื้อหนังที่ดูเหมือนจะเป็นไซไฟ แต่หนังก็เจือไปด้วยกลิ่นของความเป็นหนังแนวลึกลับ ผสมกับความเป็นแอ็คชั่น ผสานกับดราม่าที่ดูเจืออยู่มากกว่าส่วนอื่นๆ จุดเริ่มต้นของการมีเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่การตั้งคำถาม ว่าถ้าเราย้ายจิตใจไปอยู่ที่ร่างอื่นได้ มันคงเหมือนชีวิตเราใกล้เคียงกับคำว่า “อมตะ”
แต่มันไม่มีผลข้างเคียงที่จะตามมาจริงๆ นะเหรอ?
เรื่องย่อ ‘Self/Less’
เมื่อมหาเศรษฐีผู้สร้างสรรค์เมืองนิวยอร์กอย่าง แดเมี่ยน (Ben Kingsley) กำลังป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายอยู่รอมร่อ แต่กลับไม่อยากจะให้ชีวิตตนสิ้นสุดเพียงแค่นั้น เมื่อเขาได้ข่าวว่ามีแล็บ “ลอกคราบ” ที่ซึ่งจะชุบชีวิตของเขาเสียใหม่ ให้เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการย้ายวิญญาณไปสิงสู่อยู่ในร่างใหม่ที่ถูกหนุ่มหน้าใสนาม อัลไบรด์ (Matthew Goode) หลอกเอาว่าเป็นเพียง “ร่างเปล่า” มิได้เคยถูกใช้งานมาก่อน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
แต่เขามารู้เมื่อได้อยู่ในร่างใหม่ไปแล้ว
นั่นเพราะสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือผลข้างเคียงของการเปลี่ยนร่าง แต่มันไม่ใช่ กลับกลายเป็นว่าเขากำลังอยู่ในร่างของชายที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต และความสงสัยพาเขาไปพบกับเรื่องราวที่เขากำลังสงสัยลึกลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับการถูกตามล่าจากบุคคลที่เขาเริ่มแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นฝ่ายไหน
เทคโนโลยีขั้นสูงที่ดูเหมือนจะมีแต่คนชั้นสูง (รวย) เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้ใช้ อิจฉริยะของโลกอาจสมควรได้รับโอกาสได้ในการใช้ชีวิตต่อเพื่อสรรค์สร้างสิ่งดีๆ ให้กับโลกต่อไปอีกหลายสิบปี แต่ถ้ามันต้องแลกมาด้วยการหยุดลมหายใจของคนอื่น มันจะคุ้มกันไหม
พล็อตที่เริ่มต้นเอาไว้น่าสนใจ แต่ไปๆ มาๆ แล้วกลับเดาทางได้ไม่ยากเลย
รีวิวหนัง ‘สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ’
แรกๆ ดูตัวอย่างก็อาจจะคิดว่านี่น่าจะเป็นหนัง Sci-Fi ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นไซไฟแหละ แต่หลังจากดูไปสักพักก็พบว่า มันมีส่วนผสมอื่นเข้ามามากเกินกว่าจะเน้นที่ไซไฟ แค่กรอบของมันที่ยังเป็นไซไฟอยู่ หากแต่การเดินเรื่องของมันคือ Mystery เพราะตัวเอกอย่างเดเมี่ยนในร่างใหม่ (Ryan Reynolds) ต้องสืบค้นต้นตอทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของร่างเดิมเพื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร พร้อมๆ กันไปกับการสืบหาร่องรอยขององค์กรวิจัยที่ทำให้เขาได้ร่างใหม่แต่ไม่ยอมบอกว่า ร่างนั้นไม่ได้ ‘ว่างเปล่า’ อย่างที่เขาเข้าใจ
หนังยังผสมไปกับความเป็นหนัง Action ที่พระเอกจะต้องออกท่าทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้ตูมตามอะไรมากมายนัก เหตุการณ์จึงเน้นหนักไปที่ Drama เสียมาก
หากร่างที่คุณได้ไป คือร่างของสามีและพ่อของใครสักคนล่ะ ป่านนี้ลูกเมียเขาจะอยู่อย่างไร เขาจะรู้หรือไม่ว่าคนที่รักได้จากไปเพื่อมอบร่างให้กับคนใหม่ มันคุ้มค่ากันไหมกับการที่คนรวยๆ คนหนึ่งจะซื้อร่างที่หนุ่มกว่าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ แต่เจ้าของร่างเดิมกลับไม่มีโอกาสนั้นเลย
บิ๊กไอเดียดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่เรื่องราวกลับไม่ได้แตะมันสักเท่าไหร่เลย
สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนใน ‘Self/Less’ สำหรับผมก็คงจะเป็น งานภาพที่ถ่ายออกมาอย่างสวย การจัดวางของสิ่งต่างๆ บนภาพช่างเหมาะเจาะ และงดงามราวกับภาพถ่ายที่ช่างภาพบรรจงถ่ายนิ่ง งานดนตรีประกอบก็นับว่าไพเราะน่าฟัง
แต่ต่างที่เรื่องราวที่ดำเนินไปแม้ไม่น่าเบื่อ ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย แต่มันดูไม่ค่อยจะพีคเท่าที่ควร สิ่งที่ดำเนินไปนั้นแทบจะไม่มีสิ่งใดที่คนดูเดาทางไม่ออก เหมือนจะมีทางเลือกอยู่สองทางเสมอ และก็เดาถูกได้สักทาง จนแทบจะไม่เซอร์ไพรส์มากนักเมื่อหนังจบลง
หนังอย่าง ‘สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ’ เหมือนจะพยายามบอกเราว่า ชีวิตมีทางเลือกเสมอ แต่แค่เราจะเป็นคนเลือก หรือเราจะยอมให้คนอื่นมาเลือกแทนเราก็เท่านั้น เราอาจรู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ แต่ก็อยู่ที่เราจะเลือกมันหรือเปล่า หนังมีแง่มุมที่ดีๆ อยู่ข้างในนั้น
แต่อาจจะใช้มันได้ไม่ทรงประสิทธิภาพมากพอ
ชื่อภาพยนตร์: Self/Less / สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Tarsem Singh
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: David Pastor (screenplay), Àlex Pastor (screenplay)
นักแสดงนำ: Ryan Reynolds, Natalie Martinez, Matthew Goode, Natalie Martinez, Victor Garber, Michelle Dockery
ความยาว: 110 นาที
แนว/ประเภท: Mystery, Sci-Fi, Thriller
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
เรท: ไทย/น15+, MPAA/PG-13
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 10 กันยายน 2558
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Endgame Entertainment, Ram Bergman Productions, Focus Features, Buena Vista Pictures
สลับร่างล่าปริศนาชีวิตอมตะ
Self/Less - 6
6
Self/Less
สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนใน 'Self/Less' สำหรับผมก็คงจะเป็น งานภาพที่ถ่ายออกมาอย่างสวย การจัดวางของสิ่งต่างๆ บนภาพช่างเหมาะเจาะ และงดงามราวกับภาพถ่ายที่ช่างภาพบรรจงถ่ายนิ่ง งานดนตรีประกอบก็นับว่าไพเราะน่าฟัง แต่ต่างที่เรื่องราวที่ดำเนินไปแม้ไม่น่าเบื่อ ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย แต่มันดูไม่ค่อยจะพีคเท่าที่ควร สิ่งที่ดำเนินไปนั้นแทบจะไม่มีสิ่งใดที่คนดูเดาทางไม่ออก เหมือนจะมีทางเลือกอยู่สองทางเสมอ และก็เดาถูกได้สักทาง จนแทบจะไม่เซอร์ไพรส์มากนักเมื่อหนังจบลง