รีวิวหนัง Black Panther: Wakanda Forever | รำลึก อำลา วาคานด้าจงเจริญ

อย่างที่รู้กันว่า แบล็ค แพนเธอร์ ภาคแรกในปี 2018 ทำรายได้งดงามไปพร้อมกับคำวิจารณ์ในทางชื่นชมอย่างล้นหลาม หลังวิกฤติโควิดจางลง โลกก็ต้องพบกับข่าวเศร้า เมื่อ Chadwick Boseman ไม่อาจต่อกรกับโรคร้ายได้ไหวและจากโลกไป ทั้งทีมงานและนักแสดงต่างโศกเสียใจ พวกเขาไม่หานักแสดงมาเล่นแทน แต่เลือกจะให้ ‘Black Panther: Wakanda Forever’ เดินหน้าต่อในแบบที่รำลึกถึงจากไปของแบล็ค แพนเธอร์ คนเก่าไปพร้อมๆ กัน

หนังเรื่องนี้ชื่อไทยที่แปลมาตรงๆ จากชื่ออังกฤษ ‘แบล็ค แพนเธอร์: วาคานด้าจงเจริญ’ หลังชาววาคานด้าไปร่วมอยู่ในมหาศึกถล่มทานอส วันนี้ ก็ได้เวลาที่จะเล่าเรื่องราวของพวกเขาเต็มๆ อีกครั้ง

ทว่า การจากไปของแชดวิกทำให้หนังต้องเริ่มต้นด้วยความโศกเศร้าก่อนจะเข้าเรื่องของจริง

เรื่องย่อหนัง ‘Black Panther: Wakanda Forever’

ด้วยเพราะการจากไปแบล็ค แพนเธอร์ อย่างไม่มีใครคาดคิด ทำให้มหาราชินีรามอนดา (Angela Bassett จากซีรีส์ ‘American Horror Story’) ขึ้นครองบัลลังก์ที่ว่างลง ภายใต้บรรยากาศแห่งความโศกเศร้า ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดปัญหาใหม่ขึ้น เหตุเพราะการเปิดตัวของวาคานด้าต่อชาวโลก ทำให้เกิดการควานหาแร่ไวเบรเนียมอันทรงศักยภาพไปทั่วโลก

เมื่อมีเหตุการค้นพบแร่ชนิดนี้ใต้ทะเลลึก ทำให้อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ซ่อนตัวจากโลกนี้มานานจำต้องเปิดเผยตัว แต่พวกเขาเต็มใจจะเปิดเผยตัวต่อชาววาคานด้าเท่านั้น เนมอร์ (Tenoch Huerta จากหนัง ‘The Forever Purge’) ผู้นำของพวกเขา บุกมายื่นคำขาดให้วาคานด้านำตัว ริรี วิลเลียมส์ (Dominique Thorne จากหนัง ‘Judas and the Black Messiah’ และ ‘If Beale Street Could Talk’) เด็กสาวผู้คิดเครื่องมือค้นหาไวเบรเนียมและส่งตัวให้ภายในเวลา ไม่งั้นจะจัดทัพมาโจมตี

งานนี้ ชูรี (Letitia Wright จากหนัง ‘Death on the Nile’ และ ‘Sing 2’) น้องสาวของทีชัลลาผู้ล่วงลับ จำเป็นต้องปรับใจกะทันหัน เลิกโศกเศร้าและรู้สึกผิด หันมาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อรับมือกับภัยร้ายสิ่งใหม่ เธอร่วมมือกับนาเคีย (Lupita Nyong’o จากหนัง ’12 Years a Slave’ และ ‘Us’) ผู้หลบลี้ไปอยู่แสนไกล และโอโคเย (Danai Gurira จากซีรีส์ ‘The Walking Dead’) แม่ทัพหญิงผู้กล้า พร้อมด้วยผู้มาใหม่อย่าง อาเนกา (Michaela Coel จากซีรีส์ ‘Chewing Gum’) และ เอ็มบาคู (Winston Duke จากซีรีส์​ ‘Person of Interest’) ผู้นำเผ่าจาบารี เพื่อต่อกรกับภัยร้ายในวันที่พวกเขาไม่มีแบล็ค แพนเธอร์

รีวิวหนีง ‘แบล็ค แพนเธอร์: วาคานด้าจงเจริญ’

เป็นการสานต่อสิ่งที่เคยทำไว้ใน ‘แบล็ค แพนเธอร์’ ภาคแรกที่เล่าเรื่องหนักในออกมาสนุกและได้สาระ ครั้งนี้ ผู้กำกับแสวงหาเรื่องราวเพื่อจะไปต่อ หลังการเปิดตัววาคานด้ากับชาวโลก และสูญเสียกษัตริย์ทีชัลลาจนไม่มีผู้ใดกลัวเกรง ส่งผลให้เกิดเหตุขโมยไวเบรเนียมขึ้น แม้ชาววาคานด้าจะป้องกันได้ดีแค่ไหน ก็ไม่พ้นว่ามีคนคิดค้นเครื่องมือค้นหาไวเบรเนียมขึ้นมาจนได้ ทำให้บางสิ่งที่ไม่คาดคิดต้องเกิดขึ้น

เผ่าพันธุ์ที่เคยหลบซ่อนจากชาวโลกมาตลอดเฉกเช่นเดียวกับวาคานด้า พวกเขากำลังเดือดร้อนจากการรุกรานของมนุษย์บนพื้นดิน ผู้นำของพวกเขา คนที่ไม่ใช่กษัตริย์หรือแม่ทัพ พวกเขาเรียกขานว่า คุคุลคาน แท้จริงเขาอีกหนึ่งชื่อเรียก เนมอร์ (Tenoch Huerta) เทพนาคาขนนกผู้มีพลังเหนือมนุษย์ อาศัยในน้ำได้ บินก็ได้ แถมมีพลังมหาศาล เขามายื่นคำขาดให้ชาววาคานด้าส่งตัวนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเครื่องมือให้ภายในเวลา ไม่งั้นจะส่งกองทัพมาบุกยึด

แม้ผู้นำวาคานด้าจะทำตามที่เนมอร์ต้องการทั้งหมดไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยินดีจะไม่เปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขาเผ่าพันธุ์คนใต้ทะเลลึกแก่ชาวโลก ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องเลือกว่าจะนำตัวนักวิทยาศาสตร์ไปส่งให้เผ่าใต้ทะเลดีหรือไม่ หากไม่ส่งก็เสี่ยงที่วาคานด้าจะมีภัยเช่นกัน

อันที่จริง มันดูจะเป็นปัญหาที่ใหญ่สำหรับวาคานด้า เผ่าพันธุ์ใหม่ที่จะเปิดตัวนี้มีพลังมากพอจะสั่นคลอนอาณาจักรอันเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ได้แน่ หากก็มองเห็นบทลงเอยได้ง่ายเช่นกัน เพียงแต่ระหว่างนั้น พวกเขาอาจยังโศกเศร้าและรู้สึกผิดจนมองไม่เห็นก็เท่านั้นเอง อีกด้าน ก็มีบางจุดที่ชวนตะขิดตะขวงใจว่าทำไมเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดขนาดนั้นถึงมองไม่เห็น จนเป็นเหตุของสงครามที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น

หนังค่อนข้างให้เวลากับการรำลึกถึงจากไปของกษัตริย์ทีชัลล่า ความโศกเศร้าที่อบอวลอยู่ในหนังตั้งแต่ต้นยันจบ ทำให้ผู้ชมอินไปได้ไม่น้อย เพราะพวกเราต่างก็รับรู้ว่าแชดวิกผู้แสดงเป็นทีชัลล่าได้ตายไปแล้วจริงๆ ขณะเดียวกัน หนังก็ใช้ตรงนั้นให้เป็นจุดพลิกผันเปลี่ยนมันให้เป็นพลังสร้างสรรค์และผลักดันให้ออกมาต่อสู้ แทนที่จะเก็บความรู้สึกผิดไว้ตลอดกาลและไม่ก้าวไปไหน

ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะถูกสร้างมาให้ผู้ชมได้เต็มอิ่มกับภาพที่เป็น 3 มิติ พร้อมระบบเสียงกระหึ่มในโรงสุดอลังการอย่าง IMAX สิ่งที่เยี่ยมยอดก็คือ นอกจากเพลงประกอบอันมากมายที่สุดไพเราะ ก็ยังมีงานภาพที่สดสวย สร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะช่วงที่พาผู้ชมไปท่องเที่ยวทาโลคาน เมืองหลวงของพวกชนใต้ทะเลลึก ถ้าไม่ใช่ 3 มิติบนจอยักษ์อาจไม่เต็มอิ่มจนเหมือนได้ดำน้ำเข้าไปเจอด้วยตนเองแบบนี้

หนังมีช็อตชวนว้าวอยู่หลายจุด มีช็อตเซอร์ไพรซ์พอกรุบกริบ มีฉากการต่อสู้สุดดุดัน ผสมกับความโบ๊ะบ๊ะของตัวละครในช่วงครึ่งแรกที่พาเอาคนดูได้หัวเราะร่วน ถือเป็นหนังที่พอจะเป็นน้ำดีแห่ง MCU ได้แม้ยังหนักแน่นไม่เท่าภาคแรกก็ตาม

จะว่าหนังยาวก็ค่อนข้างใช่ เพราะมันมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 41 นาที แต่ก็ไม่ค่อยมีช่วงไหนที่เยิ่นเย้อแต่ถ้ารวบรัดบางฉากมากกว่าหน่อยก็คงจะดี หลังเพลง ‘Lift Me Up’ จากเสียงร้องของ Rihanna หนังมีฉากแถมกลางเครดิต 1 ตัวที่จัดว่าดี ย้ำว่ามีฉากแถม 1 ตัวเท่านั้น!

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง