รีวิวหนัง Black Phone 2 | ภาคต่อของสายหลอน หาเรื่องเล่ามาได้เก่งดี

หลังภาคแรกเมื่อปี 2021 ได้เสียงตอบรับดี ก็สบช่องให้มือเขียนบทและผู้กำกับได้โอกาสมาทำภาคต่อ เรื่องราวของโทรศัพท์เครื่องดำที่พาผู้ชมนั่งลุ้นว่าฟินน์จะเอาตัวรอดของไอ้หน้ากากโรคจิต และน้องสาวที่มีพลังเห็นนิมิตหยั่งรู้จะช่วยพี่ชายได้มั้ย ถูกเล่าสานต่อในภาคต่อมา ‘Black Phone 2’ หรือชื่อไทย ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2’ ที่เข้าฉายกลางตุลาปี 2025 นี้แหละครับ

คิดเห็นเช่นไรกับหนังสยองขวัญภาคต่อเรื่องนี้?

จากเรื่องเล่าของคนร้ายโรคจิตที่จับเด็กมาขังแต่ถูกฆ่าไปเมื่อภาคก่อน ถูกเล่าต่อด้วยพล็อตของวิญญาณหลอนที่ตามกลับมาแก้แค้น หนังยังพาเราย้อนไปอยู่ในยุคอดีตที่ใช้โทรศัพท์ในตู้ กับค่ายเยาวชนท่ามกลางป่าเขา เล่าเรื่องราวหลอน ๆ ของน้องสาวที่ฝันร้ายทุกครั้งที่หลับ กับปริศนาที่ตัวละครต้องช่วยกันคลี่คลาย หนังมีทั้งมุมสืบสวนและมุมแอ็คชันขวัญผวา ต้องขอชื่นชมว่าช่างสรรหามุมใหม่ ๆ มาเล่าให้มันต่างออกไป

พาเราร้องอ๋อกับบทเฉลยย่อย ๆ ก่อนเข้าสู่ความระทึกที่ต้องลุ้นให้พวกเขารอด และปิดท้ายด้วยความซึ้ง สนุกเลยนะแบบนี้

เรื่องย่อหนัง ‘Black Phone 2’

หลังเหตุการณ์ใน ‘The Black Phone’ ดูเหมือนฟินนีย์ (Mason Thames) จะได้รับผลกระทบจากมันพอสมควร แม้เขาจะกำจัดตัวร้ายได้สำเร็จ แต่ก็มีท่าทีก้าวร้าวและมีเรื่องชกต่อยใช้กำลังอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่ เกว็น (Madeleine McGraw จากหนังเรื่อง ‘Ant-Man and the Wasp’) น้องสาวที่ถูกมองว่าแปลก ก็ยังมีคนชอบของแปลกอย่าง เออร์นีย์ (Miguel Mora จากหนังเรื่อง ‘The Black Phone’) เข้ามาจีบแม้คนพี่จะไม่ค่อยชอบหน้านักก็ตาม

แต่ดูเหมือนเหตุการณ์ร้าย ๆ จะไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อเกว็นเริ่มฝันร้ายอีกครั้ง เธอมองเห็นเด็กถูกฆ่าตายอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งและบอกใบ้บางอย่าง ราวกับต้องการความช่วยเหลือ

จากเบาะแสความฝัน นำพาทั้งฟินน์และเกว็นไปยังค่ายเยาวชนแห่งหนึ่ง ก่อนจะพบกับตู้ที่มีโทรศัพท์สีดำที่นั่น เช่นเดียวกับจอมฉุด (Ethan Hawke จากหนังเรื่อง ‘Leave the World Behind’) nี่กลับมาอีกครั้งด้วยความมุ่งหวังจะแก้แค้น

รีวิวหนัง ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 2’

กลับมาพร้อมกับภาคต่อของหนังระทึกสยองขวัญที่สร้างความสนุกเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน Scott Derrickson ผู้กำกับคนเดิมที่เคยกำกับ ‘Doctor Strange’ และ ‘Deliver Us from Evil’ ผู้มาพร้อมกับทีมเขียนบททีมเดิมที่เคยร่วมกันเขียนบทในภาคแรก

จากเดิมที่เคยพาผู้ชมไปอยู่ในห้องใต้ดินปูนเปลือยที่ทั้งห้องแทบไม่มีอะไรนอกจากโทรศัพท์สีดำที่ไม่ได้เชื่อมต่อสายแต่ดันโทรเข้าได้ ครั้งนี้ เขาพาเราออกนอกบ้านไปพักอยู่ในค่ายเยาวชนริมทะเลสาบในช่วงเหน็บหนาวจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ยังมีเหมือนเดิม คือโทรศัพท์เครื่องดำที่หนนี้มาเป็นตู้ ใช่แล้ว เซ็ตติ้งของหนังยังคงวินเทจเช่นเคย

อีกสิ่งที่ยังมีเหมือนเคยก็คือ ภาพฝันของเกว็นที่ดูจะใช้บ่อยเป็นพิเศษ งานภาพที่ดูพร่ามัวไม่ชัดเจนแถมเกรนแตก ถูกใช้เพื่อแทนภาพในความฝันของเกว็นอีกครั้ง และครั้งนี้ มันถูกใช้เป็นช่องทางในการดำเนินเรื่องราวเลยทีเดียว เมื่อ ‘The Grabber’ หรือนักขุดใช้มักเพื่อหลอกล่อให้เธอดั้นด้นมาถึงค่ายเยาวชนในภูเขาแห่งนั้น

นั่นแหละที่ทำให้เห็นว่า หนังภาคนี้เป็นภาคต่อที่คิดบริบทเดิมมาหามุมใหม่ในการเล่า หลุดออกจากห้องใต้ดินแคบ ๆ มาเล่าในที่กว้าง ๆ เปลี่ยนจากการเอาตัวรอดจากการถูกจับขัง เป็นการเอาตัวรอดจากการถูกตัวร้ายแก้แค้น จากเดิมที่เกว็นต้องช่วยพี่ชาย หนนี้เธอกลายเป็นผู้ประสบภัยซะเอง และมีคนอื่น ๆ มาคอยช่วย

และหนังมันก็ค่อยเปลี่ยนจากครึ่งแรกที่มีฟีลหลอนระทึกลึกลับ มีกลิ่นของหนังสืบสวนผ่านนิมิตหรือความฝัน กลายเป็นแอ็คชันสุดสะพรึงสุดโหดในครึ่งหลัง พาให้คนดูเดาทางยากไม่พอ ยังพาให้พบกับปมในอดีตของครอบครัวที่ยังไม่เคยถูกบอกเล่าในภาคแรกอีก ถือว่า เขาใส่ไอเดียมาในหนังภาคต่อนี้ได้ไม่เลว

Taglines: Dead is just a word.

เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ฉากพื้นหลังเป็นค่ายเยาวชนในภูเขาที่ถูกพายุหิมะปกคลุมกับทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง สอดคล้องกับการดูในโรงหนังที่เปิดแอร์เย็นจนหนาว สร้างฟีลให้ได้อินกับเรื่องราวมากขึ้นไปอีก

ไม่เท่านั้น บทหนังยังเล่าถึงร่องรอยของความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภาคแรก กลายเป็นบาดแผลในใจของตัวละครหลัก ทั้งยังเปิดเรื่องได้ชวนสงสัย ก่อนจะอธิบายเพื่อตอบคำถามที่ทิ้งไว้ในใจของผู้ชม พร้อมปิดเรื่องได้สุดซึ้งตรึงใจน้ำตาไหลซึม กลายเป็นหนังภาคต่อที่ทำได้ดีกว่า สนุกกว่าภาคแรกไปซะงั้น

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ​ 2’