หนังหลายๆ เรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ บางทีก็ตั้งใจจะสื่อสารบางสิ่งออกมาแบบไม่โจ่งแจ้ง แต่ใช้เรื่องราวอันชวนพิศวงของเหตุชวนอึ้งเพื่อการบอกบางสิ่งที่อยากเล่า ‘Leave the World Behind’ หนังที่ไม่มีชื่อไทย ถือเป็นหนังจิตวิทยาสไตล์สโลว์เบิร์นที่สร้างความระทึกขวัญ บอกเล่าเรื่องราวเชิงภัยพิบัติที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ
ความเห็นส่วนตัวของนายแพท
เท่าที่รู้มา มันเป็นหนังที่สร้างจากนิยายขายดี ผลงานการกำกับของโชว์รันเนอร์ของซีรีส์เรื่อง ‘Mr.Robot’ เล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ไปพักร้อนที่บ้านริมทะเล ทริปทิ้งโลกไว้เบื้องหลังที่กลายเป็นการพบเจอกับเหตุหายนะโลก พร้อมกับการมาเยือนของเจ้าของบ้านผิวดำ ได้นักแสดงรุ่นเก๋ามาร่วมงานทั้ง จูเลีย โรเบิร์ต, มาเฮิร์ซชาลา อาลี, อีธาน ฮอว์ก และเควิน เบคอน รวมกับเหล่านักแสดงรุ่นใหม่ ถือว่าแคสต์มาได้ไม่เลว ชอบในการแพนกล้องที่คล้ายจะเป็นหนังฟินเชอร์ ฟีลของหนังก็ใกล้เคียงกับหนังของ จอร์แดน พีล
มันเป็นหนังที่สร้างความอึดอัดด้วยการเล่าสไตล์ slowburn หลายฉากพาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แถมแฝงความนัยของสิ่งที่อยากสื่อสารไว้ในนั้น แต่กลับทิ้งไว้เพียงความสงสัยก่อนจะจบลงอย่างห้วนๆ และไม่ได้นำไปสู่อะไร
เรื่องย่อหนัง ‘Leave the World Behind’
เคลย์ (อีธาน ฮอว์ค/Ethan Hawke จากหนังเรื่อง ‘The Northman’ และซีรีส์ ‘Moon Knight’) อาจารย์ด้านสื่อสารมวลชน กับภรรยา อแมนด้า (จูเลีย โรเบิร์ต/Julia Roberts จากหนังเรื่อง ‘Wonder’ และซีรีส์ ‘Homecoming’) ที่ทำงานด้านฝ่ายโฆษณา เกิดมาความคิดอยากจะพา อาร์ชี (Charlie Evans จากซีรีส์เรื่อง ‘Everything’s Gonna Be Okay’) โรส (Farrah Mackenzie จากหนังเรื่อง ‘Logan Lucky’ และซีรีส์ ‘Utopia’) เด็กสาวที่ติดซีรีส์เฟรนด์สอย่างหนัก ลูกชายลูกสาววัยทีนเอจไปพักร้อนด้วยกัน อแมนด้าเปิดเว็บแล้วเลือกเช่าบ้านสวยริมหาด จากนั้นก็แพ็กกระเป๋าแล้วออกเดินทาง เมื่อไปถึงก็พบบ้านหลังนี้มันสวยมาก เด็กๆ เองก็ชอบกันมาก
แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้พบบางสิ่งที่แปลกใจ เมื่อ จี. เอช. สก็อตต์ หรือ จอร์ช (Mahershala Ali จากหนังเรื่อง ‘Green Book’ และ ‘Moonlight’) กับรูธ (Myha’la จากหนังเรื่อง ‘Dumb Money’) ที่จู่ๆ ก็เคาะประตูแล้วแจ้งว่านี่เป็นบ้านของเขา และพวกเขาขับรถหลบหนีเหตุประหลาดมา
รีวิวหนัง ‘วันนั้นของมาร์กาเร็ต’
ชีวิตคนเมืองที่มักจะพบเจอแต่เรื่องเครียดๆ จากหน้าที่การงาน การออกไปเที่ยวพักผ่อนยังพื้นที่ชานเมืองที่ดูเงียบสงบ กลายเป็นทางเลือกที่ครอบครัวนี้มองว่าน่าสนใจที่สุด บ้านหลังงามอยู่ติดกับชายหาดและทะเล บรรยากาศที่แสนดีถูกรบกวนด้วยเหตุการณ์น่าประหลาดบางอย่าง จู่ๆ ก็มีเรือบรรทุกน้ำมันที่แล่นเข้าชนชายหาด เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นใกล้เข้ามาหาฝั่ง อย่างไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนทิศไปไหน พุ่งตรงมายังชายหาดที่พวกเขานอนอยู่
สัญญาณต่อมาก็คือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ไวไฟใช้งานไม่ได้ เช่นเดียวกับทีวีดูรายการอะไรไม่ได้เลย โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ เทคโนโลยีสื่อสารที่มนุษย์สร้างขึ้นล้วนเป็นง่อย ขณะที่ครอบครัวกำลังตื่นงงอยู่กับเหตุประหลาด ก็มีอีกหนึ่งความน่าสงสัยปรากฏขึ้น ชายหญิงผิวดำปรากฏตัวตรงหน้าประตูบ้าน และบอกว่าพวกเขาจอร์ชและรูธ พ่อลูกที่เป็นเจ้าของบ้านหลังที่พวกเขากำลังเช่าอยู่
อแมนด้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเธอไม่เชื่อถือและไม่ไว้ใจชายแปลกหน้ากับลูกสาว ขณะที่เคลย์ สามีของเธอค่อนข้างเปิดรับแต่ก็พยายามประนีประนอม เอาเข้าจริง พฤติกรรมบางอย่างของจอร์ชเองก็ดูน่าสงสัยอยู่นะ กลางค่ำกลางคืน จู่ๆ มีคนมาเคาะประตูแล้วบอกว่าเป็นเจ้าของบ้าน เป็นใครจะไม่รู้สึกเคลือบแคลงล่ะ แต่ดูไปเรื่อยๆ ก็อาจพบว่า สองคนนี้อาจไม่ใช่ภัยร้าย แต่กลับเป็นอย่างอื่นมากกว่า
เรื่องประหลาดยังคงเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน บางช่วงขณะ ก็มีประกาศในทีวีว่ามันคือภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ โรซี่มองเห็นกวางฝูงใหญ่ที่มาเยือนบ้าน ราวกับกำลังเตือนอะไรบางอย่าง ยิ่งเวลาผ่านไป คนดูยิ่งได้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ และรู้สึกสะพรึงมากขึ้นทุกที
คุณอาจพบตัวเองกำลังสนุกกับการคาดเดา ว่ามันจะเกิดอะไรในลำดับถัดไป แต่คุณก็อาจพบวาา เดาไม่ถูกแฮะ เป็นไปได้ว่า บางทีหนังอาจสื่อถึงเรื่องความขัดแย้งทางสีผิว เพราะในเรื่องเป็นคนขาวที่เข้ามาอยู่ในบ้านของคนดำ ทว่าคนขาวกลับได้ครอบครองบ้านแต่คนดำกลับยอมลงไปพักในชั้นใต้ดิน ขณะที่หนังเองก็บอกเล่าถึงคนรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไร ไปเที่ยวก็ยังอยู่กับโลกของตนเอง ใดๆ หนังยังจิกกัดมนุษยชาติ ที่เวลาเกิดหายนะหรือภัยพิบัติขึ้นมา ความเห็นแก่ตัวในสันดานจะผลักให้พวกเขาแยกตัวจากกัน เปลี่ยนเพื่อนให้กลายเป็นคนแปลกหน้า แตกต่างจากสัตว์ที่รวมกลุ่มกันเพื่ออพยพ
อีกส่วนก็เหมือนจะบอกเล่าว่า เราอยู่ในโลกที่เราต่างหลอกตัวเอง โกหกตัวเอง เราไม่เชื่อในมนุษย์ด้วยกัน อะไรแบบนั้นเป็นต้น ในอีกด้านหนึ่ง แผ่นปลิวที่ถูกโปรยลงมา ก็เหมือนจิกกัดอเมริกาอยู่กลายๆ ว่า พวกเขามักเชื่อไปตามประสบการณ์การรับรู้ส่วนตน ทั้งๆ ที่ทั้งหมด มันอาจไม่เกิดจากใครแต่เป็นพายุสุริยะที่พวกเขาไม่อาจคาดการณ์ได้เท่านั้นเอง
Taglines: There’s No Going Back to Normal
หนังเต็มไปด้วยจุดเล็กจุดน้อยที่ทำให้คนดูมองเห็นและพอจะแตกออกมาเป็นประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้นจริงๆ บนโลกได้ แต่ก็ดูเหมือนหนังเพียรเล่าแต่เหตุชวนสงสัย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ มีบางสิ่งที่พอจะเอามาครุ่นคิดต่อว่าเขากำลังจะสื่ออะไรกันแน่ แต่ก็ยังพบว่ามีหลายเหตุการณ์ที่ไม่มีคำอธิบายติดตามมาอย่างเพียงพอ หนังทำให้คนดูอย่างเราๆ นั่งนิ่งแล้วตั้งคำถามในใจต่อพฤติกรรมของกวางที่มารุมล้อมมนุษย์ แล้วในที่สุด หนังก็ปิดท้ายแบบห้วนๆ ชวนให้อึ้ง
เอาเข้าจริง ก็ชอบใจในการเล่าเรื่องอยู่นะ ที่มันชวนรู้สึกอึดอัด สงสัย ใคร่รู้ ซึ่งตรงนี้ หนังทำได้ดีทีเดียวแหละ เทคนิคพิเศษต่างๆ ก็ไม่เลวเลย ประกอบกับเหล่านักแสดงทั้งหลายต่างก็เล่นเอาไว้ได้ดี แถมนอกจากเหล่านักแสดงนำที่พูดถึงไปแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ยังมี Kevin Bacon มาร่วมเล่นด้วยแฮะ!
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Leave the World Behind |
กำกับ | Sam Esmail |
เขียนบท | Rumaan Alam, Sam Esmail |
แสดงนำ | Julia Roberts, Mahershala Ali, Ethan Hawke, Myha’la, Farrah Mackenzie, Charlie Evans, Kevin Bacon |
แนว/ประเภท | ดราม่า, ระทึกขวัญ |
เรท | R |
ความยาว | 138 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 8 ธันวาคม 2023 [สตรีมทางเน็ตฟลิกซ์] |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Esmail Corp., Higher Ground Productions, Netflix Studios |
คะแนน รีวิวหนัง Leave the World Behind
พล็อตและบท - 7
การแสดง - 7.3
การดำเนินเรื่อง - 7
เพลงและดนตรีประกอบ - 7.3
งานภาพ โปรดักชั่น และเทคนิคพิเศษ - 7.2
7.2
Leave the World Behind
เท่าที่รู้มา มันเป็นหนังที่สร้างจากนิยายขายดี ผลงานการกำกับของโชว์รันเนอร์ของซีรีส์เรื่อง 'Mr.Robot' เล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ไปพักร้อนที่บ้านริมทะเล ทริปทิ้งโลกไว้เบื้องหลังที่กลายเป็นการพบเจอกับเหตุหายนะโลก พร้อมกับการมาเยือนของเจ้าของบ้านผิวดำ ได้นักแสดงรุ่นเก๋ามาร่วมงานทั้ง จูเลีย โรเบิร์ต, มาเฮิร์ซชาลา อาลี, อีธาน ฮอว์ก และเควิน เบคอน รวมกับเหล่านักแสดงรุ่นใหม่ ถือว่าแคสต์มาได้ไม่เลว ชอบในการแพนกล้องที่คล้ายจะเป็นหนังฟินเชอร์ ฟีลของหนังก็ใกล้เคียงกับหนังของ จอร์แดน พีล มันเป็นหนังที่สร้างความอึดอัดด้วยการเล่าสไตล์ slowburn หลายฉากพาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แถมแฝงความนัยของสิ่งที่อยากสื่อสารไว้ในนั้น แต่กลับทิ้งไว้เพียงความสงสัยก่อนจะจบลงอย่างห้วนๆ และไม่ได้นำไปสู่อะไร