หนึ่งในซีรีส์ภาพยนตร์ที่ผู้คนบนโลกนี้จดจำ ต้องมีคาแรกเตอร์อินเดียน่า โจนส์ ปรากฏอยู่ในความนึกคิดของใครหลายๆ คนเป็นแน่ ด้วยความที่มันมีอยู่มายาวนาน ภาพของหนังผจญภัยเสาะหาขุมทรัพย์ และตัวเอกที่แต่งตัวสไตล์คาวบอย มาพร้อมกับหมวกและแส้ ในระยะหลังก็อาจห่างหายไปบ้าง แต่ในที่สุด เขาก็กลับมา ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ หรือชื่อไทยว่า ‘อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา’ ที่เตรียมเข้าโรง 28 มิถุนายนนี้
นี่คือหนังอินเดียน่า โจนส์ ภาคที่ 5 ที่ยังคงได้ แฮริสัน ฟอร์ด มารับบทนำเป็นลุงอินดี้ นักโบราณคดีผู้โด่งดังอีกครั้ง โดยมี เจมส์ แมนโกลด์ ที่เคยฝากผลงานไว้ใน ‘Ford v Ferrari’ และ ‘Logan’ มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และร่วมเขียนบท
น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่า อินดี้ในวัยขนาดนี้ ยังจะผจญภัยโลดโผนได้แค่ไหนกันนะ
เรื่องย่อหนัง ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’
หลังนักโบราณคดีอย่าง อินเดียน่า โจนส์ (Harrison Ford จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Star Wars: Episode VII – The Force Awakens’ และ ‘Ender’s Game’) ออกผจญภัยสุดขอบฟ้าล่าขุมทรัพย์จนเป็นตำนาน ตอนนี้ เขากลาย ดร.โจนส์ อาจารย์วัยเกษียณที่กลับไปนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน แต่ก่อนหน้านั้น เขาได้พบกับ เฮเลน่า (Phoebe Waller-Bridge จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Solo: A Star Wars Story’ และซีรีส์ ‘Fleabag’) หญิงสาวที่มาปรากฏตัวในคลาสของเขา โดยไม่ทันคาดคิด เธอกลับมาเจอกับเขาอีกครั้ง แท้จริงแล้ว เขาคือพ่อทูนหัวของเธอ เพราะเธอคือลูกสาวของชอว์ เพื่อนรักที่ตายจากไปแล้วของเขา แถมยังชักพาเขากลับสู่โลกแห่งการผจญภัยอีกครั้ง
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเฉลิมฉลองกับเหตุมนุษย์เหยียบลงบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ลูกสาวบุตรบุญธรรมของเขาก็นำข่าวเรื่องสมบัติชิ้นล้ำค่าที่มีพลังในการควบคุมเวลาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ กลับมาให้ลุงแก่ๆ คนนึงได้ย้อนรำลึก ถึงวันที่เขาเคยได้มันมาจากพวกนาซีบนรถไฟขบวนนั้น ก่อนจะรู้ว่ามีคนบางกลุ่มที่ตามไล่ล่ามันเช่นกัน
นักโบราณคดีกับหมวกและแส้คู่ใจ จึงกลับเข้าสู่การผจญภัยไล่ล่าสมบัติล้ำค่าอันทรงพลังนั้นอีกครั้ง…
รีวิวหนัง ‘อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา’
ในครั้งนี้ หนังพาเราย้อนกลับไปสู่อดีต พาเราไปเจอกับ แฮริสัน ฟอร์ด เมื่อครั้งยังหนุ่ม และเคยผจญภัยสุดหฤหรรษ์ไล่ล่าสมบัติชิ้นหนึ่ง แต่กลับได้เจออีกชิ้น มันมีลักษณะเหมือนกับนาฬิกา แถมยังมีพลังในการย้อนเวลา ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันทำได้จริงหรือไม่ แต่มันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ผ่านไปหลายสิบปี มีคนกลับมาไล่ล่ามัน เหมือนมาเคาะประตูชักชวนให้เขากลับสู่โลกใบเดิมของอินเดียน่า โจนส์
ศัตรูตัวเก่าที่เขาเคยคิดว่าคงตายไปแล้ว กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ในชื่อ ดร.ชมิดท์ (Mads Mikkelsen จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Doctor Strange’ และ ‘Chaos Walking’) ที่นำทีมกลับมาไล่ล่ามันด้วยเหตุผลบางอย่าง
หนังภาคนี้ นำทุกกระบวนท่าที่เคยใช้ในภาคเก่ากลับมาให้ผู้ชมที่คุ้นเคยได้เต็มอิ่มกันอีกครั้ง ด้วยการเซ็ตฉาก มุมมองของกล้อง ลีลาการต่อสู้และการตัดต่อ ใส่กลิ่นอายของความเป็นหนังอินเดียน่า โจนส์ มาอย่างเต็มเปี่ยม เราจะได้เห็นลุงอินดี้กลับมาแอ็คชั่นบนหลังม้า ลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้บนหลังคารถไฟ และลุ้นไปตลอดทาง ทั้งบนเครื่องบิน ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ เรือ ไปจนถึงในถ้ำลึก โดยมีตัวละครหน้าเดิมที่กลับมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับการถอดรหัสระหว่างทางของการค้นหา บอกแล้วว่า กลิ่นอายอินเดียน่า โจนส์ เต็มล้นหนังภาคนี้
หนังภาคนี้ ถือได้ว่ามีความยาวมากที่สุดในบรรดา 5 ภาค แม้เรื่องราวชวนตื่นเต้นไม่หยุด แต่ด้วยความยาวของหนังที่มากไปหน่อย พาร์ทแอ็คชั่นบางส่วนก็จัดกันยาวสะใจหากอารมณ์หนังมันไม่มีขึ้นลงไปชั่วระยะหนึ่ง ก่อนคนดูบางส่วนจะออกจากภวังค์กลับมาเต็มตากับเรื่องราวในช่วงที่เหลือได้ กับเรื่องราวที่ยังคงเน้นกลิ่นอายแบบดั้งเดิม ทำให้ไม่เจออะไรใหม่ที่อาจเหมาะกับคนในยุคสมัยนี้ แต่ก็อาจเจอว่าบางช่วงของหนังพาเราน้ำตาซึมไปได้เช่นกัน
ตลอดทาง หนังใส่สกอร์ที่คุ้นเคยมาทั้งเรื่อง ทั้งหมดเป็นผลงานของ John Williams นักประพันธ์เพลงผู้เลื่องชื่อ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่กลิ่นอายความเป็นหนังอินดี้ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ถ้าถามว่า จะดูหนังภาคนี้ จำเป็นต้องดูภาคเก่าๆ มั้ย ก็คงบอกได้ว่า ไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่ามาก่อน ก็รู้เรื่องได้ ถ้าเคยดูมาบ้างก็พอจะซึมซับความเป็นหนังของลุงอินดี้ได้อยู่ แต่ถ้าย้อนกลับไปทบทวนดูก่อน ก็จะยิ่งอินได้มากขึ้นในความสัมพันธ์และตัวละครเก่าๆ พวกนั้นนั่นเอง
อินเดียน่า โจนส์ มีมาแล้วกี่ภาค จำกันได้มั้ยเอ่ย?
- Indiana Jones and the Raiders of the Lost Ark (ปี 1981) ความยาว 1 ชั่วโมง 55 นาที
- Indiana Jones and the Temple of Doom (ปี 1984) ความยาว 1 ชั่วโมง 58 นาที
- Indiana Jones and the Last Crusade (ปี 1989) ความยาว 2 ชั่วโมง 7 นาที
- Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (ปี 2008) ความยาว 2 ชั่วโมง 2 นาที
- และภาคนี้ ก็คือภาคที่ห้านั่นเอง
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ | Indiana Jones and the Dial of Destiny / อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา |
กำกับ | James Mangold |
เขียนบท | Jez Butterworth, John-Henry Butterworth, David Koepp, James Mangold |
แสดงนำ | Harrison Ford, Phoebe Waller-Bridge, Karen Allen, Mads Mikkelsen |
แนว/ประเภท | แอ็คชั่น, ผจญภัย |
เรท | PG-13 |
ความยาว | 154 นาที |
ปี | 2023 |
สัญชาติ | สหรัฐอเมริกา |
เข้าฉายในไทย | 28 มิถุนายน 2023 |
ผลิต/จัดจำหน่าย | Walt Disney Pictures, Lucasfilm, Paramount Pictures |
คะแนนหนัง อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
พล็อตและบท - 6.5
การแสดง - 7
การดำเนินเรื่อง - 6.5
เพลงและดนตรีประกอบ - 8
งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7
7
Indiana Jones and the Dial of Destiny
หลายหน้าไปหลายปี กลับมาอีกที ยังคงเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความเป็นหนังอินเดียน่า โจนส์ หนนี้มีเฮเลนาเข้าร่วมผจญภัยไล่ล่าสมบัติที่มีพลังแทรกซึมเวลา จัดเต็มตัวละครเก่า กับเซ็ตติ้งแบบที่คุ้นเคย ถ้าถามว่า จะดูหนังภาคนี้ จำเป็นต้องดูภาคเก่าๆ มั้ย ก็คงบอกได้ว่า ไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่ามาก่อน ก็รู้เรื่องได้ ถ้าเคยดูมาบ้างก็พอจะซึมซับความเป็นหนังของลุงอินดี้ได้อยู่ แต่ถ้าย้อนกลับไปทบทวนดูก่อน ก็จะยิ่งอินได้มากขึ้นในความสัมพันธ์และตัวละครเก่าๆ พวกนั้นนั่นเอง